สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนจัดบรรยายพิเศษ ‘สงครามการค้ากับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป’ ถกอนาคตการค้าไทย-จีน
- Details
- Category: CHINA
- Published: Saturday, 21 June 2025 07:12
- Written by: admin
- Hits: 44
สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนจัดบรรยายพิเศษ ‘สงครามการค้ากับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป’ ถกอนาคตการค้าไทย-จีน
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีนได้จัดการบรรยายในหลักสูตรผู้บริหารธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (บทจ.2) และหลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย-จีน รุ่นที่ 2 (Young Executive Program 2) ทั้ง 2 หลักสูตร โดยมีกรรมการบริหารสมาคมฯ สื่อมวลชน ผู้บริหาร และ ผู้เข้าเรียนในหลักสูตร กว่า 100 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องเพชรชมพู ชั้น 3 โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร
ซึ่งหลักสูตรนี้จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน สถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย-จีน ร่วมกับหอการค้าไทย-จีน ได้รับการสนับสนุนจาก สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และรายการจับจ้องมองจีน China Media Group จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมให้กับตัวแทนภาครัฐ นักธุรกิจ สื่อมวลชนไทย-จีน ในการรับมือกับพลวัตของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยในครั้งนี้ ดร.ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ได้บรรยายในหัวข้อ'สงครามการค้ากับระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป'ซึ่งได้นำเสนอภาพรวมและความท้าทายต่างๆ ที่เกิดจากการกระทบกระทั่งกันของมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งฉายภาพบทบาทสำคัญของประเทศไทยในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
โลกในศตวรรษที่ 21 กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญสู่ระเบียบโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยพลวัต ไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ได้ยึดโยงอยู่กับแค่มหาอำนาจเพียงหนึ่งหรือสองประเทศอีกต่อไป แต่กำลังก้าวเข้าสู่โครงสร้าง 'โลกหลายขั้ว'(Multipolar World) ที่ไม่ได้มีเพียงจีนกับสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากแต่รวมถึงกลุ่มภูมิภาคและประเทศสำคัญอื่นๆ เช่น อาเซียน อินเดีย ละตินอเมริกา หรือแม้กระทั่งกลุ่มความร่วมมืออย่างบริกส์ (BRICS) ที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ความตึงเครียดทางการค้ากำลังเปลี่ยนสู่การแข่งขันของมหาอำนาจในการกำหนดกติกาและทิศทางของโลก
โดยปัจจุบันสหรัฐอเมริกากำลังพยายามดึงดูดการลงทุนกลับประเทศอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง และเซมิคอนดักเตอร์ ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Reshoring หรือการย้ายฐานการผลิตหรือซัพพลายเชนจากต่างประเทศกลับมายังสหรัฐอเมริกา, Friendshoring หรือการย้ายการผลิตไปยังประเทศพันธมิตรที่น่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อลดการพึ่งพาคู่แข่ง และ Nearshoring ซึ่งหมายถึงการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่อยู่ใกล้ตลาดหลัก เพื่อให้บริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยหลักที่กำหนดบริบทโลกในปัจจุบัน ได้แก่ ความร่วมมือทางการค้าผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศที่หลากหลายและซับซ้อน เช่น WTO (องค์การการค้าโลก), FTA (ความตกลงการค้าเสรี), RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค), CPTPP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางการค้าโลก
รวมถึงความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสมดุลทางเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเร่งปรับกลยุทธ์ด้านการค้า การลงทุน และการผลิตใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยขัดแย้งหลักในเวทีโลก ซึ่งรวมถึงการแย่งชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น ชิปเซมิคอนดักเตอร์), การแข่งขันด้านการลงทุนในพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นพลังงานแห่งอนาคต, และความพยายามในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและซัพพลายเชนของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาจากภายนอก
ในบริบทที่ไม่แน่นอนและซับซ้อนนี้ ประเทศไทยในฐานะประเทศขนาดกลางที่มีความเชื่อมโยงสูงกับเศรษฐกิจโลก ต้องปรับบทบาทและวางจุดยืนทางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพ สร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกอย่างยั่งยืน โดยต้องกำหนดจุดยืนทางยุทธศาสตร์ของชาติอย่างชัดเจน ด้วยการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็น'ศูนย์กลางความมั่นคงทางอาหาร'หรือ 'ฮับการผลิตและโลจิสติกส์ของอาเซียน'
รวมถึงการกำหนดจุดแข็งของตนเอง เช่น Soft Power ด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว โดยยึดหลักผลประโยชน์ของชาติ ความยั่งยืน และความสมดุลในการดำเนินนโยบายระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ อย่างชาญฉลาด การพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับทิศทางโลกก็เป็นสิ่งสำคัญ
ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อย่างจริงจัง, ยกระดับมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, Governance) ให้เป็นสากล, และพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลกและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น
พร้อมกันนี้ ต้องกระจายความเสี่ยงในตลาดและซัพพลายเชน ลดการพึ่งพาตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา หรือจีนเพียงรายเดียว เสริมบทบาทของไทยในอาเซียนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความมั่นคง เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและลดการพึ่งพามหาอำนาจ ตลอดจนเร่งเจรจาและขยาย FTA กับประเทศหรือกลุ่มเศรษฐกิจอื่นๆ อย่างหลากหลาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ และลดความเสี่ยง
นอกจากนี้ การเสริมสร้างศักยภาพภายในประเทศเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยการยกระดับแรงงานให้มีทักษะตรงกับความต้องการของโลกยุคใหม่ ซึ่งเน้นทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยี รวมถึงการเตรียมการเพื่อรับมือกับความผันผวนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความล่าช้าด้านวัตถุดิบ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเปลี่ยนแปลงทางภาษี ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
ภายใต้ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก จีนซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ยังคงมีบทบาทสำคัญและเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ขาดไม่ได้สำหรับประเทศไทย เป็นที่คาดการณ์ว่าในปี 2025 มูลค่าการค้าโลกอาจหดตัวลงร้อยละ 0.2 และหากสถานการณ์กำแพงภาษียังคงยืดเยื้อ อาจหดตัวได้มากถึงร้อยละ 1.5 ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสูง
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือกับจีนยังคงเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ประเทศไทยได้อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงสู่ตลาดโลกขนาดใหญ่ หรือการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน โดยไทยตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก สามารถเชื่อมโยงจีน-เอเชียใต้-ตะวันออกกลาง และเป็น'ฮับโลจิสติกส์-ศูนย์กลางการแปรรูป'ที่สำคัญได้ ไทยควรกระจายความเสี่ยงโดยการขยายตลาดส่งออก
และเร่งเจรจา FTA ที่สำคัญ เช่น Thai-EU FTA และ CPTPP เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า ประกอบกับการที่จีนใช้นโยบายเศรษฐกิจ Dual Circulation และยุทธศาสตร์ BRI เพื่อกระชับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ไทยจึงอาจได้รับโอกาสทั้งการค้าและการลงทุนจากนโยบายเหล่านี้ของจีน
นอกจากนี้ จีนยังถือเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลกในอนาคต เศรษฐกิจไทยจึงต้องเร่งปรับตัว ลดการพึ่งพาตลาดเดิม เสริมความร่วมมือกับจีนอย่างสมดุล พร้อมใช้โอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อผลักดันการเติบโต
โดยความร่วมมือกับจีนควรอยู่บนพื้นฐานของ'หุ้นส่วนที่เท่าเทียมกัน'เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม ดร.ณรงค์ศักดิ์ได้เสริมว่า ประเทศไทยต้องสร้าง 'ภูมิคุ้มกันเชิงนโยบาย'ที่แข็งแกร่ง ทั้งในมิติของการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
พร้อมเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและโปร่งใส และถึงแม้เศรษฐกิจโลกอาจอยู่ในช่วงขาลง แต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบ อาหารยังคงเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน และยังมีโอกาสอีกมาก หากประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรได้ เช่น การแปรรูปข้าวไทยให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและตอบโจทย์ตลาดโลกได้หลากหลายยิ่งขึ้น