สภาพัฒน์ คงเป้าจีดีพี ปี 58 โต 3.5-4.5% แต่หั่นเป้า ส่งออก-นำเข้าทั้งปีเหลือโต 3.5%และ1.8% ขณะที่จีดีพีปี 57 โตแค่ 0.7%
สภาพัฒน์ คงเป้าจีดีพีปี 58 โต 3.5-4.5% แต่หั่นเป้า ส่งออก-นำเข้าทั้งปีเหลือโต 3.5%และ1.8% ส่งสัญญาณ ธปท. ลดดอกเบี้ยกระตุ้น ศก. ลั่นไทยยังไม่เกิดภาวะเงินฝืด พร้อมคาดราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ 50-60 เหรียญ/บาร์เรล เผยจีดีพีปี 57 โตแค่ 0.7% ส่วนQ4/57 โต 2.3% แต่มั่นใจ Q1/58 จีดีพี เป็นบวก หลังมอบแนวโน้มการค้า-การลงทุนฟื้นตัว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี จะขยายตัวได้ 3.5-4.5% ซึ่งเป็นตามคาดคาดการณ์เดิม โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจกลุ่มยูโรโซน และญีปุ่นยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวช้าๆ ท่ามกลางแรงกดดันของภาวะเงินฝืด ในขณะที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2557 และเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่และภูมิภาคอาเซียนที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา และแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อปรับลดลง
สำหรับ ปัจจัยในประเทศจะแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคส่งออก การลงทุนภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งการลดลงของราคาน้ำมัน การเร่งรัดการใช้จ่ายและดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญ
"การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัด และปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในภาวะตกต่ำ ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ และการเงินโลกที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และแนวโน้มการอ่อนค่าของสกุลเงินในประเทศสำคัญๆ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังปรับตัวเพิ่มขึ้น" นายอาคมกล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2558 คาดการส่งออกจะขยายตัวได้ 3.5% ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2557 ที่ติดลบ 0.3% อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ส่งออกปีนี้ดังกล่าวปรับลดลง จากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัว 4% เนื่องจากการปรับลดสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ส่งผลให้การส่งออกไปประเทศคู่ค้าหลักมีแนวโน้มที่จะอยู่ระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะที่การนำเข้าในปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.8% จากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 5% เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและการปรับลดประมาณการส่งออกส่งผลให้ความต้องการนำเข้าลดลงจากประมาณการเดิม
ส่งผลคาดในปี 58 ดุลการค้าจะเกินดุล 28.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่เกินดุล 24.6 พันล้านดอลลาร์ และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากการเกินดุล 19.6 พันล้านดอลลาร์ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการปรับลดประมาณการมูลค่าการนำเข้าที่เร็วกว่าการปรับลดประมาณการมูลค่าการส่งออก เมื่อรวมกับดุลบริการที่คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อน โดยคาดว่าจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2558 เกินดุล 18.9 พันล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 4.9% ของจีดีพี
ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2558 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.1-1% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 6 ปี โดยเป็นการปรับลดจากค่าเฉลี่ยในการประมาณการครั้งก่อนที่คาดขยายตัว 1.4-2.4% ตามการปรับลดลงของสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าภายในประเทศในหมวดของพลังงานที่มีสัดส่วน 11.4% มีการปรับตัวลดลงมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี
ทั้งนี้ นายอาคม มองว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีที่ระดับ 3.5-4.5% ในปี 2558 ยืนยันว่ายังเป็นในระดับที่ต่ำกว่าปกติ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบ และเข้าใกล้ศูนย์ ซึ่งถือว่าเป็นระดับต่ำไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นมาตรการที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวได้รวมไปถึงเกิดการลงทุน น่าจะได้รับการสนับสนุนนโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะด้านอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากยังมีช่องว่างที่จะสามารถทำนโยบายทางการเงินได้
"หากลดอัตราดอกเบี้ยลงคงจะช่วยเพิ่มให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินได้มากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนทางการงินก็จะต่ำลงไปด้วย ซึ่งส่งผลให้ภาคธุรกิจมีการกู้เงินเพื่อขยายรธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในปีนี้"นายอาคม กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ ได้เคยส่งสัญญาณถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว แต่ธปท.ยังยันยันว่าอัตราดอกเบี้ยยังมีความเหมาะสม และต้องการเก็บกระสุนทางการเงินไว้ใช้ในยามจำเป็น
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราเงินเฟ้อจะติดลบในเดือนม.ค. 58 แต่ยืนยันจะไม่เกิดภาวะเงินฝืด เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ และอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงมาจากราคาน้ำมันปรับลดลงเป็นส่วนสำคัญ โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ในระดับต่ำที่ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากสมมติฐานเดิมที่ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก โดยเฉพาะในครึ่งแรกของปี ประกอบด้วย 1. ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ และประเทศนอกกลุ่มโอเปก รวมทั้งการคงกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก 2.ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสูงขึ้นโดยเฉพาะของสหรัฐฯ 3. ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศสำคัญของโลกอยู่ในระดับต่ำตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะกลุ่มยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน 4. การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และ 5. นโยบายทางการตลาดของซาอุดิอาระเบีย เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดของโลก
อย่างไรก็ตามคาดราคาน้ำมันจะเริ่มปรับตัวสู่เสถียรภาพในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นช่วงไตรมาสสุดท้ายปี2558 ตามการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตน้ำมันบางรายที่ประสบปัญหาความไม่คุ้มค่าของผลการดำเนินงาน
นายอาคม รายงานต่อถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ปี 2557 โดย ขยายตัว 0.7% ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะขยายตัว 1% โดยเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้มาจากการบริโภคภาคครัวเรือนที่ขยายตัว 0.3% ตามความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว
นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากมีนักท่องเที่ยวในปี 57 รวม 24.8 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียทั้งจากจีน มาเลเซีย และอินเดีย ที่เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่การค้าส่งค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการบริโภคภาคครัวเรือนและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีการปรับตัวสูงขึ้น
ด้านการส่งออกในปี 57 มูลค่าการส่งออกสินค้าติดลบที่ 0.3% การนำเข้าทั้งปี 2557 ติดลบ 8.5% โดยปริมาณและราคานำเข้าลดลง 6.8% และ 1.8% ตามลำดับ ส่งดุลเกินการค้าในปี 2557 24.6 พันล้านดอลลาร์ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 14.2 พันล้านดอลลาร์
ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ไตรมาส 4/2557 ขยายตัว 2.3% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 /57 ที่โต 0.6% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน การส่งออก และรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาล โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัว 1.9% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 69.6 สูงกว่าในไตรมาส 3 ที่อยู่ที่ 69.3
ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาล เพิ่มขึ้น 5.5% จากที่ขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 3 เนื่องจากรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการสุทธิและค่าตอบแทนแรงงานมีการปรับเพิ่มขึ้น การเบิกจ่ายงบประมาณโดยรวม เพิ่มขึ้น 0.7% โดยอัตราเบิกจ่ายอยู่ที่ 29.8% ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่ 3.2%
สำหรับ การลงทุนรวม ขยายตัว 3.2% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.9% โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 3.9% โดยเฉพาะในหมวดก่อสร้างสามารถกลับมาขยายตัวได้ ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจลดลง 8% แต่การลงทุนภาครัฐขยายตัว 9.4% ทั้งการก่อสร้างและหมวดเครื่องมือเครื่องจักร
การส่งออกในไตรมาส 4/2557 มีมูลค่า 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขยายตัว 1.5% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/2557 ที่ติดลบ 1.7% ตามการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ 3.1% แต่มูลค่าสินค้าเกษตรและทองคำ ลดลง 8.5% และ 12.6% ตามลำดับ จึงทำให้มูลค่าการส่งออกในภาพรวมยังคงขยายตัวช้า
โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกลดลงได้แก่ มันสำปะหลัง ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยางและกุ้ง
การนำเข้าในช่วงไตรมาส 4/2557 มีมูลค่าการนำเข้าทั้งสิ้น 49.1 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ติดลบ 0.8% โดยมูลค่าการนำเข้าหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางลดลง 5%เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงตามการลดลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการชะลอปริมาณการนำเข้าน้ำมันของโรงกลั่นในภาวะที่คาดว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะต่ำลงอีก ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 4 /57เกินดุล 9.8 พันล้านดอลลาร์
น้ำมันขายปลีกในประเทศลดลง รวมทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ เช่น มาตรการขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในการตรึงราคาสินค้าในช่วงครึ่งหลังปี 2557
สำหรับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2557 อยู่ที่ 1.9% ชะลอลงจาก 2.2% ในปี 2556 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยทั้งปี อยู่ที่ 1.6% ชะลอลงจาก 1% ในปี 2556
ทั้งนี้ นายอาคม มองว่า แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 1/2558 คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 2.3% ในไตรมาส 4/2557 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างชาติ การลดลงของราคาน้ำมันและสถานการณ์ในประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยมากขึ้น
"ในปีนี้ยังคงต้องจับตาการผลักดันการส่งออกและการท่องเที่ยวให้ขยายตัวต่อเนื่อง และเป็นศักยภาพการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน และภาครัฐควบคู่ไปกับการดูแลภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากความตกต่ำของราคาสินค้าในตลาดโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน" นายอาคม กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย