เผยสมาชิกเกือบทั้งหมดหนุนไทยเข้าร่วม-ขู่หากปฏิเสธนักลงทุนเผ่นหนีกกร.อ้างทีพีพีหนุน GDP โต
ภาคเอกชน 3 สถาบัน เผยสมาชิกกว่า 80% หนุนไทยเข้าร่วมข้อตกลง ทีพีพี แม้ยอมรับว่าจะมีกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เช่น ปศุสัตว์ ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง ขณะที่กลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ ยานยนต์ สิ่งทอ แนะรัฐออกมาตรการเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมตั้งทีมงานศึกษาดันไทยขึ้นฮับ ด้านการค้า การลงทุนและบริหารในอาเซียน ลอกแบบ สิงคโปร์- ฮ่องกง ที่เป็นฮับด้านการเงิน สภาหอการค้า โปรยยาหอม ข้อตกลง ทีพีพี ช่วยหนุน ซีดีพี โต 1%
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี เปิดเผยผลภายหลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. ว่า ที่ประชุมได้พิจารณา เรื่องการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific partnership: TPP) โดยมีการสอบถามสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เห็นด้วยประมาณ 80-90% กับการที่จะเข้าร่วม โดยการเข้าร่วมเจรจาต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และผลกระทบในภาพรวมของประเทศเป็นสำคัญ ให้ภาครัฐให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ประสบปัญหา อาทิ กลุ่มปศุสัตว์ ยา เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง เป็นต้น ส่วนที่ได้ประโยชน์โดยตรง อาทิ กลุ่มยานยนต์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
"รัฐบาลสามารถเจรจาเป็นรายประเทศได้และหากมีปัญหาก็ต้องมีมาตรการเยียวยา ปัจจุบันเองกรณีการเจรจาเขตการค้าเสรีหรือ FTA กับประเทศต่างๆ รัฐได้ตั้งกองทุน FTA เข้ามาดูแลอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบขณะนี้เงินก็ยังเหลืออยู่ ดังนั้นควรจะนำรูปแบบดังกล่าวมาเป็นแนวทางเพื่อช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม หากไทยไม่เข้าร่วม TPP จะต้องมองประโยชน์ภาพรวมที่เราจะเสียมากกว่าได้ซึ่งนักลงทุนเองก็ติดตามอยู่หากไม่เข้าร่วมอาจกระทบต่อการ ลงทุนใหม่ แต่การย้ายฐานหนีจากไทยคงไม่ง่ายนัก" นายสุพันธุ์กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบ จัดตั้งคณะทำงานอาเซียนฮับ (Asean Hub) เพื่อศึกษาการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการบริการ โดยให้ตัวแทนแต่ละสถาบันส่งมาเข้าร่วมเพื่อที่จะศึกษาว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางได้อย่างไรในการให้ 10 ประเทศในอาเซียนยอมรับไทย เช่น กรณีฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นฮับด้านการเงิน โมเดลนี้ก็จะใช้มาศึกษากับไทยด้วย โดยเรื่องดังกล่าวจะเร่งดำเนินการศึกษาโดยเร็วเพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนและบริการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้สรุปภาวะเศรษฐกิจเดือนธันวาคม 2558 พบว่าภาพรวมเศรษฐกิจมีสัญญาณบวกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สะท้อนจากกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศปรับดีขึ้น ที่ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีและความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัว ต่อเนื่อง แม้ยังถูกหน่วงจากการหดตัวของภาคส่งออก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ยังขยายตัวได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นและคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่องไปในปี 2559
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ยังคงเบิกจ่ายได้ดีทั้งงบประจำและงบลงทุน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่นเดียวกับภาคการท่องเที่ยว ที่เติบโต ต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2558 ขยายตัว 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน นำโดยนักท่องเที่ยวจีนและอาเซียนเป็นหลัก
สำหรับ การบริโภคภาคเอกชน มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายทั้งหมวดสินค้าไม่คงทน และสินค้าคงทนที่ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยชั่วคราวตามการเร่งซื้อรถก่อนปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้น ส่งให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมฟื้นตัว ต่อเนื่อง แม้การฟื้นตัวจะกระจุกอยู่ในบางหมวด อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์ยาง
สำหรับในปี 2559 กกร.ประเมินว่าจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่อาจกดดันการฟื้นตัวภาคส่งออก และราคาสินค้าเกษตร ประกอบกับภัยแล้งที่จะกระทบต่อการฟื้นตัวของการบริโภค โดยต้องติดตามการเร่งดำเนินนโยบายของภาครัฐและแนวโน้ม ความเชื่อมั่นของทุกภาคเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด รวมทั้ง หากภาครัฐเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเริ่มลงทุนได้ตามเป้าในครึ่งปีหลังของปี 2559 ก็จะเห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นได้ต่อเนื่อง
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ประชุม กกร.ได้มีการเปิดเผยผลการศึกษาเบื้องต้นเห็นว่าหากไทยเขาร่วม TPP จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศหรือ GDP ขยายตัวได้อีก 0.77% และหากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเข้าร่วมด้วย แล้วจะทำให้การค้าขายเชื่อมโยงกันมากขึ้นและทำให้ GDP ของไทยโตขึ้นอีก 1.06% ดังนั้นไทยจะต้องพิจารณาผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น กับบางกลุ่ม
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ส่วนแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ธนาคารกสิกรไทยยังคงคาดการณ์ไว้ที่ 3% และจะมีการทบทวนอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมิถุนายน โดยยังต้องติดตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดการณ์ว่าขยายตัว 3.2% และความคืบหน้า การปฏิรูปและการลงประชามติรัฐธรรมนูญ
บรรยายใต้ภาพ
หนุนเข้าร่วม TPP : เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 ณ โรงแรมดุสิตธานี คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จัดประชุม ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2559 โดยภายหลังจากการประชุม ได้มีการแถลงข่าวสรุปผลการประชุม ดังกล่าวหลากหลายประเด็น รวมถึง กกร.ได้พิจารณา เรื่องการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้น แปซิฟิก (Trans-Pacific partnership : TPP) โดยมีการสอบถามสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการที่จะเข้าร่วม
กกร.หนุนไทยเข้าร่วมทีพีพี
ดุสิต * กกร.หนุนไทยเจรจาเข้าร่วม TPP ชี้ประโยชน์มากกว่าเสีย หากไม่ร่วมลงทุนใหม่ อาจไม่มา พร้อมแนะรัฐต้องเยี่ยวยาอุตฯ ที่ได้รับผลกระทบ "สุพันธุ์" แจงตั้งคณะทำงานอาเซียนฮับดันไทยเป็นศูนย์ กลางการค้า การลงทุน บริการ
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติสนับ สนุนให้รัฐบาลไทยเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐ กิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ซึ่งจากการสำรวจสมาชิก กกร. พบว่า 80-90% ที่เห็นด้วย แต่มีบางอุตสาหกรรมที่คัดค้าน เพราะได้รับผลกระทบ เช่น ปศุสัตว์ พันธุ์พืช สิทธิบัตรยา เป็นต้น จึงต้องหารือร่วมกับภาครัฐ เอกชนถึงมาตรการเยียวยา
"หากมีปัญหาก็ต้องมีมาตรการเยียวยา เช่นเดียวกับ กรณีเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับประเทศต่างๆ 12 กรอบ เจรจาภาครัฐได้ตั้งกองทุน FTA เข้ามาดูแลอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ขณะนี้เงินก็ยังเหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องมองที่ประโยชน์ภาพรวมที่จะเสียมากกว่าได้ ซึ่งนักลงทุนเองก็ติดตามอยู่ หากไทยไม่เข้าร่วม TPP อาจกระทบต่อการลงทุนใหม่ แต่การย้ายฐานหนีจากไทยคงไม่ง่ายนัก" นายสุพันธุ์กล่าว
นายสุพันธุ์กล่าวว่า ที่ประชุม กกร.ยังเห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานอาเซียนฮับ เพื่อศึกษาการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนและการบริการ โดยให้แต่ละสถาบันส่งตัวแทนเข้าร่วม เพื่อที่จะศึกษาว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางได้อย่างไร และการให้ 10 ประเทศในอาเซียนยอมรับไทย เช่น กรณีฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นฮับด้านการเงิน โมเดลนี้ก็จะมาใช้ศึกษากับไทยด้วย โดยเรื่องดังกล่าวจะเร่งดำเนินการศึกษาโดยเร็วเพื่อให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนและบริการ
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลการศึกษาเบื้องต้นที่ย้ำให้เห็นว่า หากไทยเข้าร่วม TPP จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ขยายตัวได้อีก 0.77% และหากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียเข้าร่วมด้วยแล้ว จะทำให้การค้าขายเชื่อมโยงกันมากขึ้น และทำให้ GDP ของไทยโตขึ้นอีก 1.06% ดังนั้นไทยจะต้องพิจารณาผลประโยชน์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบางกลุ่ม.