หวั่นภัยแล้งทำ ศก.วูบแสนล้าน ผลผลิตการเกษตรฉุดดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 74.7
บ้านเมือง : ม.หอการค้าเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 74.7 หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 63.5 โดยมีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.พ.59 อยู่ที่ระดับ 74.7 ขณะที่ดัชนีเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 63.5 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 69.7 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 90.7
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยมีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับลด GDP ปี 59 เหลือ 2.8-3.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3-4%, ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจของจีน, ยอดส่งออกของไทยในเดือน ม.ค.59 ติดลบ 8.9%, ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรทรงตัวในระดับต่ำ และเงินบาทแข็งค่า
ขณะที่มีปัจจัยบวกจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%, สภาพัฒน์ ประกาศ GDP ไตรมาส 4/58 ขยายตัว 2.8% ส่งผลให้ GDP ปี 58 ขยายตัวที่ 2.8% และ ครม.เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง
แม้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แต่ดัชนียังถือว่าสูงกว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 58 ซึ่งสัญญาณที่ดัชนีปรับตัวลดลงนี้เป็นเพียงสัญญาณชั่วคราวเท่านั้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ ปัจจัยเสี่ยงจากทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ยังไม่มีท่าทีจะลดน้อยลง โดยในส่วนของปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก คือ เศรษฐกิจโลกยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลายขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ตลอดจนหุ้นของบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ อันจะมีผลกระทบตามมาถึงกำลังซื้อที่ลดลง และเมื่อราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำก็จะมีผลไปถึงสินค้าอื่นๆ ที่ผูกพันกับราคาน้ำมันด้วย เช่น ยางพารา และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากยางพารา ที่จะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป ประกอบกับการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบของประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น ในขณะที่จีนใช้มาตรการลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย แต่เศรษฐกิจของจีนก็ยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น จึงเป็นภาพที่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงนั้นอาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกซึมตัวตาม
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงจากภายในที่สำคัญ คือ ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขสถานการณ์และออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรออกมาเป็นระยะ ทั้งนี้เห็นว่าสถานการณ์ภัยแล้งมีส่วนในการฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ลดลง รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ยังติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 จึงทำให้เห็นว่ากำลังซื้อจากประชาชนยังไม่เด่นนัก
"เราเห็นว่าภัยแล้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยง และอาจจะเป็นความเสี่ยงที่เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนเมษายนพฤษภาคม รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับภัยแล้ง ทั้งจัดหาแหล่งน้ำ เยียวยาเงินสนับสนุน เราประเมินเบื้องต้นว่าผลกระทบจากภัยแล้งจะทำให้เงินหายไปจากระบบราว 70,000-100,000 ล้านบาท ดังนั้นการที่รัฐบาลมีวงเงินไว้ราว 8.7 หมื่นล้านสำหรับการดูแลภัยแล้ง ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม แต่ต้องทำอย่างรวดเร็วให้เกิดผลเป็นรูปธรรม" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะต้องเร่งให้เม็ดเงินดังกล่าวลงสู่ระบบในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. เพราะในช่วงไตรมาสที่ 2 นั้นหากทุกอย่างพลิกฟื้น จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถเงยหัวขึ้นได้ เพราะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกนี้ยังมีโอกาสชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/58 โดยคาดว่าจะยังอยู่ใกล้เคียง 2.8% หรือต่ำกว่าเล็กน้อย ดังนั้นถ้าเม็ดเงินเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจลงสู่ระบบได้ทันในช่วงไตรมาส 2 ทั้งการลงทุนภาครัฐ มาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่างๆ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3-3.5%
"กรอบที่เรายังมองตอนนี้ คือ 3.0-3.5% แต่มองว่ามีโอกาสจะใกล้เคียงกับ 3% ตอนนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังมีสัญญาณปรับตัวลง โดยเฉพาะต่างจังหวัดที่ยังซึมตัว เราคาดหวังว่าถ้ารัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ ความเชื่อมั่นน่าจะเริ่มฟื้นได้ในช่วงเดือน เม.ย.หรือ พ.ค. และการจับจ่ายใช้สอยน่าจะดีขึ้นช่วงปลายไตรมาส 2" นายธนวรรธน์ กล่าว
สศก. เผยภัยแล้งมีโอกาสลากถึงมิ.ย. 59 ประเมินความเสียหายราว 6.2 หมื่นลบ.
ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่าสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้มีโอกาสลากยาวไปถึงกลางปีนี้ หรือราวเดือน มิ.ย. 59 โดยประเมินความเสียหายจากภัยแล้งในปีนี้ประมาณ 6.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะพยายามแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้รุนแรงเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปริมาณน้ำต้นทุนยังเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคในครัวเรือนแน่นอน แต่ก็คงต้องใช้อย่างประหยัด ส่วนการทำเกษตรคงไม่เพียงพอจะรองรับได้ทุกพื้นที่ ซึ่งเกิดจากปัญหาใหญ่ คือ พื้นที่ป่าหายไป จึงเสนอแนะให้รัฐบาลออกมาตรการสร้างจิตสำนึกรักป่า และมาตรการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพกว่าปัจจุบัน ด้วยการใช้กลไกจัดการอุปสงค์การใช้น้ำ
อินโฟเควสท์
ดัชนี ชี้วัดดิ่งลงทุกตัวลากประมาณการเศรษฐกิจลดแน่-ธุรกิจขาดน้ำเสียหายแสนล้านภัยแล้ง-ศก.ซบกดบริโภคทรุด
แนวหน้า : ม.หอการค้า ชี้การบริโภคซบเซาต่อเนื่อง ดัชนีความเชื่อมั่นฯเดือนกุมภาพันธ์วูบอีก ประชาชน เกิดความกังวลทั้ง กรณีภาวะเศรษฐกิจไทยยังซึม ซ้ำเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กระทบส่งออก อย่างรุนแรง ขณะที่ปัญหาภัยแล้งหนักกว่าที่คาด สร้างความเสียหายทุกส่วน ทั้งการผลิต บริการ โดยเฉพาะภาคเกษตรเจ๊งแน่ๆ 6 หมื่นล้านบาท เตรียมปรับลดประมาณการตัวเลขการเติบโต ทางเศรษฐกิจ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคเดือนก.พ. 2559 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อยู่ที่ระดับ 74.7 เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวค่อนข้างล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะภัยแล้งเริ่มมีปัญหารุนแรงมากขึ้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการหดตัวของการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นโลกและราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวรวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 2 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ถือเป็นปัจจัยชั่วคราว โดยดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยรวมและดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 63.5, 69.74 และ 90.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมกราคมอยู่ที่ระดับ 64.4, 70.3 และ 91.7 ตามลำดับ โดยดัชนีฯ ทุกรายการที่ต่ำกว่าปกติแสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจ โอกาส หางานทำ และรายได้ในอนาคต
นายธนวรรธน์กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจ เช่น เศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในภาวะตึงตัว รวมถึงผลกระทบราคาน้ำมันที่อยู่ระดับต่ำมีผลโดยตรงต่อบริษัทผู้ค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งรายได้ที่ชะลอตัวลงกระทบกำลังซื้อและท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบมายังการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไม่ว่ายางพารา และข้าว ที่ถือว่าราคาจะทรงตัวระดับต่ำ ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออกหากไม่ดีขึ้นอาจทำให้ส่งออกของไทยขยายตัว 0% หรือติดลบ
"เศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในภาวะตึงตัว ราคาน้ำมันที่อยู่ลดลงระดับต่ำ ทำให้ส่งผลโดยตรง ต่อบริษัทผู้ค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกมีรายได้ ลดลง และส่งผลเกี่ยวเนื่องต่อกำลังซื้อ รวมมาถึงการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ทั้งยางพารา และข้าว ทำให้การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบด้วย โดยหอการค้าไทยมองว่าการส่งออกปี 2559 นี้ หากยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัจจัยดังกล่าว ส่งออกอาจขยายตัวที่ 0% หรือ อาจติดลบได้"
ขณะที่ผลกระทบจากภัยแล้ง ขณะนี้ประเมินว่าจะมีความเสียหายทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรมและบริการไม่ต่ำกว่า 70,000-100,000 ล้านบาท โดยเฉพาะภาคเกษตรการทำข้าวนาปรังจะมีความเสียหาย ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แนวทางปัจจุบันที่รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาและอัดฉีดเม็ดเงินแก้ปัญหาภัยแล้งวงเงิน 87,000 ล้านบาท ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและหากการดำเนินการประสบผลสำเร็จ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การลงทุนภาครัฐส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นไตรมาส 2 หรือเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ จะแถลง ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งโดยละเอียดอีกครั้งวันที่ 17 มีนาคมนี้ รวมถึงจะมีการแถลงประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่าจากดัชนีที่ปรับตัวลดลงทุกรายการจะทำให้ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจปรับตัวลดลงแน่นอน
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าสำหรับผลกระทบจากปัญหา ภัยแล้งที่อาจกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และขาดแคลนน้ำดื่มนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์จากกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด ซึ่งพบว่าปริมาณน้ำเพื่อการบริโภคมีเพียงพอ ไม่ขาดแคลน แต่ยอมรับปริมาณน้ำเพื่อการเกษตรอาจไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือเกษตรกรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยแทน และให้กรมการค้าภายในออก ตรวจสอบสถานการณ์ และปริมาณน้ำดื่มในแต่ละพื้นที่ไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า จนเกิดการ ขาดแคลนน้ำดื่ม เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความ
ตื่นตระหนก หากพบเห็นการกักตุนสินค้า จะให้กรมการค้าภายในเข้าไปดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ให้เร่งเชื่อมโยงตลาด พืชผัก และผลไม้ มาจำหน่ายให้ประชาชน แต่ทั้งนี้ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งอาจมีผลต่อคุณภาพสินค้าเกษตรให้ด้อยลง
ขณะที่การรับมือปัญหาผลผลิตกระเทียมล้นตลาดในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ที่ผลผลิตกำลังจะออกใน 2 เดือนนี้กว่า 70,000 ตัน และ กระทบราคากระเทียมสดให้ตกต่ำลงนั้น ได้เตรียมมาตรการชะลอการขายผลิตจากเกษตรกรไว้แล้ว เพื่อไม่ให้ราคาตกต่ำกว่าปัจจุบันที่อยู่กิโลกรัมละ 33 บาท