ม.หอการค้า เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.59 อยู่ที่ 75.5 ลดลงจากเดือนธ.ค.58 ที่ 76.1 ลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
ม.หอการค้า เผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.59 อยู่ที่ 75.5 ลดลงจากเดือนธ.ค.58 ที่ 76.1 ลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นศก.โดยรวมเดือนม.ค.59 อยู่ที่ 64.4 ลดลจากเดือนธ.ค.58 ที่ 65.1 หลังนลท.กังวลศก.ในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าคาด - การเมืองเริ่มร้อนแรง และศก.โลกชะลอตัว แนะรัฐหาทางอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบในครึ่งปีแรก เรียกความเชื่อมั่น พร้อมคาดเงินสะพัดตรุษจีนปีนี้ 5.25 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่ 5.04 หมื่นลบ.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมกราคม 2559 อยู่ที่ 75.5 ลดลงจากเดือนธันวาคม 2558 ที่อยู่ที่ 76.1 โดยดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวล่าช้า ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้น โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน สถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ยังไม่มีเสถียรภาพ
ประกอบกับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นโลกและราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยการส่งออกในเดือนธันวาคมที่ผ่านมามีมูลค่า 17,100.12 ล้านดอลลาร์ ลดลง 8.73% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 15,612.92 ล้านบาท ลดลง 9.23% และราคาสินค้าเกษตรที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ โดยเฉพาะยางพาราและข้าว ทำให้กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวมากนัก รวมทั้งผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะติดลบ นอกจากนี้ผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับ ปัจจัยบวกในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค. คาดเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาจะขยายตัวได้ 2.8% เร่งตัวขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 0.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2558 ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง เป็นต้น
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนมกราคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 64.4 ลดลงจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมาที่ 65.1 โดยเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนเช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าและต่ำกว่าที่คาดไว้
“เป็นการปรับตัวตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น คนมีความเป็นห่วงอนาคตจริงๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาน้ำมันที่ลดลง”นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับ ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลนั้น ในช่วงไตรมาส 1-2 นี้ อยากให้รัฐบาลมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในช่วงที่รอการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เนื่องจากขณะนี้ดัชนีความเชื่อมั่นปรับลดลง ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เรียกความเชื่อมั่นต่างๆ อาจส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นมีการปรับลดลงได้
“หากรัฐบาลไม่ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีความคึกคักที่โดดเด่น ผ่านการลงทุนของภาครัฐ อาจทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นอาจจะลดลง โดยสิ่งที่จะเป็นตัวกดดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นติดลบยังมีสถานการณ์ภัยแล้งหากแรงขึ้น ราคาสินค้าเกษตรยังต่ำ เราห่วงความเชื่อมั่น อยากให้รัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1-2 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งมองว่าจะช่วยพยุงความเชื่อมั่นได้”นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีนในปีนี้ว่า จากการสำรวจตัวอย่าง 1,224 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า มีเงินสะพัดสูงถึง 52,561.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ 50,472.39 ล้านบาท ทั้งนี้จากการสำนวณยังพบว่า 36.3% บรรยากาศจะคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา และ 31.5% มองว่าจะคึกคักเท่ากับปีที่ผ่านมา และ 32.2% คึกคักน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
สำหรับ สิ่งที่ประชาชนห่วงในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้นคือ การขึ้นราคาสินค้าในช่วงเทศกาล ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวแพง อุบัติเหตุบนท้องถนน ความปลอดภัยของบ้านพัก การจี้/ล้วงกระเป๋า ปล้น และขโมย และการเกิดอัคคีภัย ด้านพร 1 ประการที่ประชาชนต้องการคือ ขอให้การค้าเจริญรุ่งเรือง มีเงินมีรายได้ ขอให้ร่ำรวย ขอให้สุขภาพแข็งแรง และขอให้มีความสามัคคี ส่วนสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา คือ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาค่าครองชีพไม่สอดคล้องกับรายได้ ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ปัญหาคอรัปชั่น และปัญหาความขัดแย้งในสังคม
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย