มติชนออนไลน์ : การเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะร่วมติดตาม ระหว่างวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถูกจับตามองจากหลายฝ่ายอย่างใกล้ชิด เพราะนอกจากจะสร้างความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศให้แนบแน่นขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว ยังมีโครงการลงทุนที่สำคัญร่วมกันคือ การพัฒนาระบบราง ซึ่งเป็นโครงการที่ 2 ถัดจากโครงการแรกที่รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลจีนเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่รางมาตรฐาน 1.435 เมตรไปก่อนหน้านี้
- เตรียมรถไฟ 3 สายให้ญี่ปุ่น
ก่อนการเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น กระทรวงคมนาคมในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินโครงการได้จัดทำรายละเอียดการพัฒนารถไฟทางคู่รางมาตรฐาน 1.435 เมตร จำนวน 3 เส้นทางไว้ล่วงหน้า เพื่อนำไปให้รัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณา โดย 2 เส้นทางแรกจะเชื่อมฝั่งตะวันออกและตะวันตกของประเทศไทย คือ 1.จากพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-จ.ฉะเชิงเทรา จากนั้นจะแยกไปอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และอีกทางจะแยกจากฉะเชิงเทราไป อ.มาบตาพุด จ.ระยอง เส้นทางที่ 2 จาก อ.แม่สอด จ.ตาก-จ.มุกดาหาร และ 3.เส้นทางเชื่อมภาคเหนือ กรุงเทพฯ-จ.เชียงใหม่ เบื้องต้นความร่วมมือในครั้งนี้ได้กำหนดเป็นการศึกษาแนวทางเส้นทาง ความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ และความคุ้มค่าของการลงทุนร่วมกัน
ขณะเดียวกันยังได้พิจารณาเส้นทางที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะมีการศึกษาในรายละเอียด คือ เส้นทางจากพุน้ำร้อน กาญจนบุรี-กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา แยกไป อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และแยกไป อ.มาบตาพุด จ.ระยอง เพราะจะสามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่เศรษฐกิจโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย กับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้ ส่วนเส้นทางแม่สอด จ.ตาก-จ.มุกดาหาร ที่ผ่านมายังไม่มีผลการศึกษามาก่อน ซึ่งญี่ปุ่นจะช่วยศึกษาให้ ส่วนเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทางญี่ปุ่นให้ความสนใจ เพราะเป็นการเชื่อมพื้นที่จากภาคเหนือสู่ภาคใต้ของไทย
- ไทย-ญี่ปุ่นลงนามพัฒนาระบบราง
ทันทีที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางถึงญี่ปุ่น โอกาสแรกที่เข้าหารือทวิภาคีกับนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลญี่ปุ่น วันที่ 9 กุมภาพันธ์ จึงได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนและลงนามเอกสารความร่วมมือ 2 ฉบับ คือ 1.บันทึกแสดงเจตจำนง (เอ็มโอไอ) ความร่วมมือในการพัฒนาระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมไทย-ญี่ปุ่น และ 2.บันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอซี) ในการส่งเสริมการทำธุรกิจและการลงทุนของไทยในญี่ปุ่น เพื่อผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวว่า โครงการระบบรางที่ 2 ฝ่ายได้ลงนามเจตจำนงระหว่างกัน ที่จะศึกษาและพัฒนา 3 เส้นทางเร่งด่วนในไทย จะเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ทั้งด้านบนและด้านล่าง และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในพม่า โดยทั้งหมดนี้เป็นการส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้กับเอกชนญี่ปุ่น โดยมีไทยเป็นฐานการผลิต จุดเชื่อมโยง และศูนย์กลางการกระจายสินค้าในภูมิภาค
- นายกฯอยากทำไฮสปีดเทรน
วันถัดมา พล.อ.ประยุทธ์ยังเรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนคนไทยได้ไม่น้อย ด้วยประโยคที่ว่า "ประเทศไทยเองอยากให้มีชินคันเซนเช่นกัน อย่างไรก็ดีต้องขึ้นกับการให้ความสนับสนุนของญี่ปุ่น" ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานีรถไฟโตเกียว รถไฟสายต่างๆ และการพัฒนาด้านระบบรางของญี่ปุ่น ก่อนที่จะทดลองนั่งรถไฟความเร็วสูงชินคันเซน จากสถานีโตเกียวไปยังนครโอซากา
เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ชวนเศรษฐีมาทำรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ด้วย โดยระบุว่าในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้หารือกันว่าจะสามารถทดลองให้เกิดรถไฟความเร็วสูงสักช่วงได้หรือไม่ สำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น พัทยา หัวหิน ในลักษณะการร่วมลงทุน โดยกำลังประชาสัมพันธ์ภาคเอกชนของไทยที่รวยเยอะๆ มาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) ซึ่งจากที่ไปดูที่ประเทศญี่ปุ่น หากเป็นระยะทาง 700 กว่ากิโลเมตร ใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาท แต่ไทยมีที่ดินอยู่ ถ้าเศรษฐีไทยมาร่วมลงทุน และต่างประเทศมาร่วมหุ้นบ้างก็น่าจะดี
- หนุนเส้นทางกทม.-พัทยา
ในเรื่องนี้ทางกระทรวงอุตสาหกรรมก็ออกมาตอบรับด้วยว่า เบื้องต้นอาจพิจารณาส่งเสริมให้ทำไฮสปีดเทรนในเส้นทางระยะสั้นก่อน เช่น กรุงเทพฯ-พิษณุโลก หรือกรุงเทพฯ-นครราชสีมา หากสร้างแล้วเกิดผลดีค่อยพัฒนาเส้นทางต่อไปได้ ขณะเดียวกันยังเห็นว่าเส้นทาง กรุงเทพฯ-พัทยา มีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากพัทยามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง และเส้นทางนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เคยเสนอให้รัฐบาลลงทุน เพราะเป็นเส้นทางที่ผ่านทั้งท่าเรือแหลมฉบังและจังหวัดชลบุรี ที่ถือว่ามีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นชุมชนขนาดใหญ่
(ความหมายของรถไฟความเร็วสูงที่หลายประเทศนิยามเอาไว้จะเป็นรถไฟที่ใช้ความเร็วได้ตั้งแต่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป หรือบางประเทศกำหนดไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป)
- แบ่งเค้กญี่ปุ่น-จีน
หากเปรียบเทียบความร่วมมือในการพัฒนาระบบรางไทย-ญี่ปุ่น คงจะไม่แตกต่างจากความร่วมมือไทย-จีน ที่ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 มากเท่าไหร่ จะต่างกันก็ตรงที่ความร่วมมือระหว่างไทย-จีน รุดหน้าไปไกลมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดเส้นทางที่จะก่อสร้างจากหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-มาบตาพุด และเส้นทางกรุงเทพฯ-แก่งคอย รวมระยะทาง 873 กิโลเมตรอย่างชัดเจน โดยเป็นรถระบบรถไฟฟ้า ที่ใช้ความเร็วได้ตั้งแต่ 160-180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบ่งการก่อสร้างเป็น 4 ช่วง เพื่อความรวดเร็ว คือ 1.ช่วงกรุงเทพฯ-แก่งคอย ระยะทาง 133 กิโลเมตร 2.ช่วงแก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 246.5 กิโลเมตร ซึ่งทั้ง 2 ช่วงนี้จะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคม 2558 เพื่อให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการปลายปี 2560 หรือต้นปี 2561 ส่วนช่วงที่ 3 คือ แก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 138.5 กิโลเมตร และ 4.ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กิโลเมตร จะเริ่มก่อสร้างภายในเดือนธันวาคม 2558 หรือต้นปี 2559 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2561 ตามแผนการดำเนินงานในวันที่ 1 มีนาคมนี้ เจ้าหน้าที่จะเริ่มลงพื้นที่สำรวจตลอดแนวการก่อสร้างรวมถึงการศึกษาและสำรวจออกแบบจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม แผนและรูปแบบการลงทุน ซึ่งทุกเรื่องจะต้องมีข้อสรุปที่ชัดเจนภายในเดือนกรกฎาคม 2558 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
- ลุ้นจีนลดดอกเบี้ยเงินกู้
จากการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างไทย-จีน ในช่วงที่ผ่านมา ทางจีนได้เสนอรูปแบบการลงทุนในลักษณะของการกู้ร่วมกันผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศจีน (เอ็กซิมแบงก์จีน) ในอัตราดอกเบี้ย 2-4% ระยะเวลาปลอดหนี้ 4 ปี และคืนทุนภายใน 20 ปี ให้ใช้เทคโนโลยีของประเทศจีน ให้จีนเป็นผู้ออกแบบ ก่อสร้างงานโยธา และบริหารการเดินรถเอง แต่ทางการไทยได้ยืนยันไปว่าการเดินรถ ไทยจะเป็นผู้บริหารจัดการเอง ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่จีนเสนอนั้นก็สูงเกินไป เนื่องจากก่อนหน้านี้ไทยเคยกู้เงินจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) เพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้าบางเส้นทาง ได้ดอกเบี้ยเพียง 1.5% เท่านั้น จึงได้เสนอให้ฝ่ายจีนลดอัตราดอกเบี้ยลงให้เป็นอัตราดอกเบี้ยพิเศษมากกว่านี้ และเพิ่มระยะเวลาปลอดหนี้ให้มากขึ้น
ด้าน พล.อ.อ.ประจินก็ยืนยันในทำนองเดียวกันว่า หากทางจีนเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงมากเกินไปและไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยพิเศษจริง ไทยจะพิจารณาหาแหล่งเงินกู้อื่นเข้ามาดำเนินการก่อสร้างรถไฟแน่นอน โดยเบื้องต้นได้จัดเตรียมแผนการดำเนินงานไว้แล้ว โดยจะใช้เงินภายในประเทศ เนื่องจากเพียงพอที่จะสามารถก่อสร้างในระยะแรกได้อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ยังบอกด้วยว่า เท่าที่ศึกษามาทราบว่าการกู้เงินจากจีนโดยปกติจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 3% แต่หากเป็นอัตราพิเศษจะต่ำกว่า 3% ซึ่งไทยก็หวังที่จะได้พิเศษมากหน่อย แต่หากได้ไม่มากตามที่หวังไว้ก็มีทางเลือกอยู่ คือ ใช้เงินในประเทศ ถึงแม้จะได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า แต่ก็เป็นเงินของไทยซึ่งจะช่วยในการขับเคลื่อนและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ โดยอาจจะใช้วิธีตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์) ก็ได้ ส่วนดอกเบี้ยระหว่าง 2-4% เห็นว่าสูงเกินไปยังไม่พิเศษมาก หากยังอยู่ในระดับ 2% ก็อาจจะพิจารณากู้จากจีนเพียงบางส่วน และที่เหลือจะใช้เงินในประเทศไทยเอง
- จับตาญี่ปุ่นเริ่มที่ไฮสปีดเทรน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.อ.อ.ประจินพร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปประชุมอย่างเป็นทางการที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อนำรายละเอียดการดำเนินโครงการที่ร่วมกันพิจารณาและศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ไปร่วมกันพิจารณากับรัฐบาลจีนให้มีความชัดเจนในทุกเรื่อง ซึ่งหลักๆ ที่จะต้องหาข้อสรุปให้ได้ คือ 1.ด้านเทคนิค จะเป็นเรื่องของกรอบเวลาการทำงาน พิจารณารายชื่อบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการก่อสร้าง การดำเนินการในเรื่องราง ไม้หมอน และระบบควบคุมการเดินรถ เป็นต้น และ 2.ด้านการเงิน จะเป็นเรื่องของการลงทุน เพื่อพิจารณารูปแบบการลงทุน เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันในเรื่องไหนแล้ว ก็จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง แต่บางเรื่องนอกจากจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว ยังต้องนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)พิจารณาด้วย ซึ่งรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลการประชุมจะมีความชัดเจนในสัปดาห์นี้ ภายหลัง พล.อ.อ.ประจินเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย
ท้ายที่สุดเค้กก้อนนี้จะถูกแบ่งเป็น 2 ชิ้นเท่ากันหรือไม่ คงต้องจับตา แม้จีนจะได้สิทธิให้เริ่มเดินหน้าโครงการไปก่อน แต่ก็คงจะร้อนๆ หนาวๆ บ้างที่ "นายกฯประยุทธ์" อยากมีชินคันเซน!
งานนี้ญี่ปุ่นอาจจะติดเทอร์โบไฮสปีดเทรนแซงม้วนเดียวจบเลยก็เป็นได้