สหภาพ CAT ค้านแยกบริษัท ทวงแผนรองรับธุรกิจ NBN-NGDC เริ่ม 1 พ.ย.
ไทยโพสต์ : แจ้งวัฒนะ * สหภาพแรงงานฯ CAT ขีดเส้นตายขอคำตอบภายใน 15 วัน ทวงถามบอร์ดบริษัท มีแผนรองรับธุรกิจที่หายไปหรือไม่ ขณะที่ คนร.ฟันธง 1 พ.ย.60 นี้ บริษัทลูกต้องเริ่มดำเนินงานทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสังวร พุ่มเทียน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจของ บมจ.กสท โทรคมนาคม (CAT) ยังคงเดินหน้าคัดค้านการแยกทรัพย์สิน โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ต.ค.2560 ที่ผ่านมา ได้ยื่นหนังสือขอรับทราบแนวทางการดำเนินงานของ CAT ต่อประธานกรรมการบริษัท โดยระบุว่า การแบ่งแยกทรัพย์ สินโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นบริการหลักของ CAT ออกไปให้บริษัทลูก คือ บริษัท โครง ข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์ เน็ต (NGDC) จะทำให้บริษัทแม่เกิดความเสียหาย ดังนั้นผู้บริหารควรมีคำตอบถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ต้องปรับเปลี่ยนภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือด้วย
ทั้งนี้ ขอทราบข้อเท็จจริง 8 ข้อ คือ 1.การแยกทรัพย์ สินโครงข่ายดังกล่าวเกิดขึ้นจาก การนำเสนอของ กสท โทรคมนาคม เอง หรือเป็นนโยบายนำเสนอของใคร 2.กสท โทรคม นาคม มีการวิเคราะห์ผลกระ ทบต่อการดำเนินงานของบริษัท หลังจากแยกทรัพย์สินโครงข่ายออกไปหรือไม่ และมีแผน รองรับธุรกิจอย่างไร 3.ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการ จะมีอะไรบ้าง 4.การจัดตั้งบริษัท ลูก ไม่เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของ กสท โทรคมนาคม และหากเกิดปัญหาภายหลัง ใครจะรับผิดชอบ
5.ผลประโยชน์ที่ กสท โทรคมนาคม จะได้รับจากการจัดตั้งบริษัทลูก หรือ บริษัทร่วมทุน เป็นอย่างไร 6.ขอทราบ ความชัดเจนของแผนธุรกิจบริษัทลูกทั้ง 2 ว่า หากผลประ กอบการขาดทุนหรือต้องการ เพิ่มทุนจะมีแผนให้เอกชน เข้าร่วมทุนหรือไม่ 7.แผนการ ถ่ายโอนทรัพย์สิน ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ และแผนโอนย้ายพนักงานจะส่งผลต่อสภาพการจ้างของพนักงาน หรือไม่ อย่างไร และ 8.สิทธิของพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทย ก่อนการแปลงสภาพ ในการจัดสรรหุ้นให้พนักงาน กสท ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2546 จะมีผลกระทบหรือไม่
ด้านนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2560 ที่ผ่าน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้น ที่ประชุมมีมติให้ NBN และ NGDC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ทีโอที (TOT) และ CAT ต้องเปิดให้บริการในวันที่ 1 พ.ย.2560 แม้ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปมูลค่าทรัพย์สินที่จะโอนให้บริษัทลูกได้ก็ตาม โดยบริษัทแม่ต้องทำหน้าที่ผู้จ้างบริษัทลูกและให้งานที่บริษัทลูกต้องรับผิดชอบไปทำก่อนในช่วงระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2560-31 มี.ค. 2561 เท่านั้น และในวันที่ 1 เม.ย. 2561 บริษัทลูกทั้ง 2 ต้องแยกตัวออกมาอย่างชัดเจนและดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ทั้ง 2 บริษัทลูกได้เข้าสู่กระบวน การรับสมัครพนักงานแล้ว โดย NBN ต้องมีพนักงานทั้งที่มาจาก TOT และ CAT รวมทั้งสิ้น 1,200 อัตรา โดยมี TOT เป็นผู้ดูแลหลัก ขณะที่ NGDC ต้องมีพนักงานทั้งหมดที่จำนวน 479 อัตรา โดยมี CAT เป็นผู้ดูแลหลัก.
'กสท'เดินหน้าตั้งบริษัทลูก'สหภาพ'ไม่เลิกป่วนคัดค้านแยกทรัพย์สิน
แนวหน้า : นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดตั้ง บริษัทลูกของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วย 1.บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN Co.) และ 2.บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และ ศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เนต (NGDC Co.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีมติให้ทั้ง 2 บริษัทใหม่ต้อง สามารถเปิดให้บริการได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาคือบริษัทแม่ทั้ง กสท และ ทีโอที ยังไม่สามารถสรุปมูลค่าทรัพย์สินที่จะโอนให้ บริษัทลูกได้ ดังนั้น บริษัทแม่ต้องทำหน้าที่จ้างบริษัทลูก ในงานที่บริษัทลูกต้องรับผิดชอบไปพลางๆ ก่อน จนกว่า จะหาข้อสรุปของมูลค่าทรัพย์สินได้ แต่จะมีเวลาถึงแค่วันที่ 31 มีนาคม 2561 เท่านั้น เพราะในวันที่ 1 เมษายน 2561 ต้องดำเนินธุรกิจด้วยตนเอง
โดยขณะนี้ทั้ง 2 บริษัทลูกได้เข้าสู่กระบวนการรับสมัครพนักงานแล้ว โดย บริษัท โครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ (NBN Co.) ต้องมีพนักงานทั้งที่มาจากทีโอที และ กสท โทรคมนาคม ทั้งหมด 1,200 อัตรา ขณะที่ บริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูล อินเตอร์เนต (NGDC Co.) ต้องมีพนักงานทั้งที่มาจาก ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม จำนวน 479 อัตรา
มีรายงานแจ้งว่า ประเด็นนี้ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กสท โทรคมนาคม ยังคงเดินหน้าคัดค้านการแยกทรัพย์สินไปอยู่ที่บริษัทลูก โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ตัวแทนสหภาพฯได้ยื่นหนังสือ ขอทราบแนวทางการดำเนินงานของ กสท โทรคมนาคม ต่อประธานกรรมการบริษัท กสท โทรคมนาคม โดยกังวลว่า การแบ่งแยกทรัพย์สินโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นบริการหลักของ กสท โทรคมนาคม ออกไปให้บริษัทลูก จะทำให้บริษัทแม่เกิดความเสียหาย