กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามตลาดคาด
ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 8/2560 ในวันที่ 20 ธ.ค.60 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการ กนง. ระบุว่า ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ชัดเจนขึ้น และขยายตัวได้สูงกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยได้รับแรงส่งจากภาคต่างประเทศ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางปรับสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่ประเมินไว้ ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้านเสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีความเสี่ยงในบางจุดที่อาจสะสมความเปราะบางในระบบการเงินในระยะต่อไป
"คณะกรรมการฯ เห็นว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบัน มีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายได้ แม้อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้" เลขานุการ กนง.ระบุ
เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้ จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่เข้มแข็งมากขึ้น ส่วนการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากรายได้ที่ปรับดีขึ้นยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง การลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนจะล่าช้าออกไปบ้าง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงที่ต้องติดตามพัฒนาการต่อไปอย่างใกล้ชิด อาทิ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นเล็กน้อยตามราคาพลังงานที่ทยอยปรับสูงขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ปรับดีขึ้นบ้างแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต ทั้งนี้ ในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ
ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาคเอกชนสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อ SMEs เริ่มปรับดีขึ้นในหลายธุรกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับสกุลคู่ค้าคู่แข่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับในระยะข้างหน้าอัตราแลกเปลี่ยนจะยังคงมีแนวโน้มผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนในต่างประเทศ คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด
คณะกรรมการฯ เห็นว่าระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุดที่อาจจะสร้างความเปราะบางให้กับเสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้างและรูปแบบการทำธุรกิจ
มองไปข้างหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านต่างประเทศ ในขณะที่ยังต้องติดตามความเข้มแข็งของการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมถึงพัฒนาการเงินเฟ้อ คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศ
กนง.เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 60 เป็นโต 3.9% จากคาด 3.8% และขยายตัว 3.9% ในปี 61
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้เป็น 3.9% จากก่อนหน้าคาดไว้ที่ 3.8% จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่เข้มแข็งมากขึ้น การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากรายได้ที่ปรับดีขึ้นยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนจะล่าช้าออกไปบ้าง
ขณะที่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อใกล้เคียงกับประมาณการเดิม โดยยังมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ จึงได้มีการทบทวนประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 60 เพิ่มเป็น 3.9% จาก 3.8% และในปี 2561 เป็น 3.9% จาก 3.8% เช่นกัน รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออกในปี 60 เป็น 9.3% จาก 8.0% และในปี 61 เป็น 4.0% จาก 3.2%
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นเล็กน้อยตามราคาพลังงานที่ทยอยปรับสูงขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ปรับดีขึ้นบ้างแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต แต่ในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มกลับเข้าสู่กรอบฐานล่างได้ภายในไตรมาส 2/61
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีการปรับลดลงเหลือ 1.6% จาก 2.3% ในปี 60 และ 2.3% จาก 3.0% ในปี 61 เนื่องจาก กนง.มองว่าเอกชนกำลังรอความชัดเจนการร่วมลงทุนกับรัฐ (PPP) ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่อาจเลื่อนออกไป แต่ถ้าภาครัฐลงทุนได้มากขึ้นในระยะต่อไป ก็จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนตามไปด้วย
"เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่ประมาณการไว้จากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกสินค้าและบริการปรับตัวดีขึ้น การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งแรงกระตุ้นภาครัฐที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ กนง.เห็นว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ค่อนไปทางความเสี่ยงด้านลบ
กนง.เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 60 เป็นโต 3.9% จากคาด 3.8% และขยายตัว 3.9% ในปี 61
คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้เป็น 3.9% จากก่อนหน้าคาดไว้ที่ 3.8% จากการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่เข้มแข็งมากขึ้น การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากรายได้ที่ปรับดีขึ้นยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร รวมทั้งหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ แม้การเบิกจ่ายงบลงทุนจะล่าช้าออกไปบ้าง
ขณะที่ประมาณการอัตราเงินเฟ้อใกล้เคียงกับประมาณการเดิม โดยยังมีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ จึงได้มีการทบทวนประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 60 เพิ่มเป็น 3.9% จาก 3.8% และในปี 2561 เป็น 3.9% จาก 3.8% เช่นกัน รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออกในปี 60 เป็น 9.3% จาก 8.0% และในปี 61 เป็น 4.0% จาก 3.2%
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นเล็กน้อยตามราคาพลังงานที่ทยอยปรับสูงขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ปรับดีขึ้นบ้างแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต แต่ในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มกลับเข้าสู่กรอบฐานล่างได้ภายในไตรมาส 2/61
ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีการปรับลดลงเหลือ 1.6% จาก 2.3% ในปี 60 และ 2.3% จาก 3.0% ในปี 61 เนื่องจาก กนง.มองว่าเอกชนกำลังรอความชัดเจนการร่วมลงทุนกับรัฐ (PPP) ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่อาจเลื่อนออกไป แต่ถ้าภาครัฐลงทุนได้มากขึ้นในระยะต่อไป ก็จะเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนตามไปด้วย
"เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่ประมาณการไว้จากเดิมเล็กน้อย เนื่องจากการส่งออกสินค้าและบริการปรับตัวดีขึ้น การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งแรงกระตุ้นภาครัฐที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ กนง.เห็นว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ค่อนไปทางความเสี่ยงด้านลบ
อินโฟเควสท์