ธปท.ยันขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 61 เป็นระดับที่เหมาะสม พร้อมติดตามความเสี่ยงต่อต้นทุน - เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
ธปท.ยันขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 61 เป็นระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี แต่ต้องติดตามภาระต้นทุนผู้ประกอบการ และผลกระทบเงินเฟ้อ ชี้จะมีผลต่อการตัดสินใจต่อการขึ้นราคาอาหาร
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้ ซึ่งคิดเป็นอัตราเพิ่มร้อยละ 3.4 โดยเฉลี่ยทั่วประเทศนั้น ถือว่าเป็นขนาดการปรับเพิ่มที่ไม่มากไม่น้อยเกินไป และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง แต่ยังไม่กระจายตัวมากนัก โดยจะส่งผลดีให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นและส่งผลดีต่อการบริโภคในภาพรวม และช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น จากข้อมูลการสำรวจพบว่ากลุ่มลูกจ้างที่มีรายได้ในปัจจุบันต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่จะประกาศใหม่มีอยู่ประมาณร้อยละ 12 เมื่อประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำอัตราใหม่จะทำให้คนกลุ่มนี้มีระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น และช่วยบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนของกลุ่มดังกล่าวที่ยังอยู่ในระดับสูงได้บ้าง
อย่างไรก็ดี ความกังวลต่อความสามารถของผู้ประกอบการที่จะแบกรับภาระต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้น เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กซึ่งมีต้นทุนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานรายได้ขั้นต่ำเป็นค่าใช้จ่ายหลักของกิจการ
สำหรับ ผลของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อเงินเฟ้อปรับเป็นสิ่งที่ ธปท. จะติดตามประเมินผลอย่างใกล้ชิด โดยผลกระทบต่อเงินเฟ้อจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยของลูกจ้าง ภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น และการแข่งขันของผู้ประกอบการ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นราคาของผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ เป็นการปรับในอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความเหมาะสม เพราะได้คำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจสังคมของพื้นที่เป็นปัจจัยสำคัญ เช่น ปรับขึ้นค่าแรงในอัตราสูงในพื้นที่ EEC ซึ่งผู้ประกอบการมีศักยภาพในการสร้างผลิตภาพจากแรงงานที่จ้างอย่างคุ้มค่า หรือในกรณีที่ปรับขึ้นค่าแรงไม่มากนักในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยเพราะคำนึงถึงการประคองภาวะเศรษฐกิจท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น
พาณิชย์ เผยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 61 หนุนเงินเฟ้อ 0.08% พร้อมเพิ่มเป้าเงินเฟ้อปีนี้ อยู่ที่ 0.7-1.7% จาก 0.6-1.6%
พาณิชย์ เผยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 61 ทำต้นทุนสินค้าขึ้นแค่ 0.0008%-0.1% ส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.08% พร้อมปรับกรอบเงินเฟ้อปีนี้ใหม่อยู่ที่ 0.7-1.7% จากเดิม 0.6-1.6% ส่วนต้นทุนค่าแรงคาดเพิ่มขึ้น 0.07% ของจีดีพี ส่วนภาคส่งออกคาดกระทบต้นทุนเพิ่มขึ้น 0.022%
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ศึกษาผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2561 โดยเฉลี่ยพบว่าปรับขึ้น 3.4% หรือทำให้ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 305.44 บาท เป็น 315.90 บาท หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10.50 บาท ซึ่งมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าต่ำสุด 0.0008% และสูงสุดอยู่ที่ 0.1% หรือมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.05% ซึ่งถือว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนไม่มาก และผู้ผลิตจะใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้
โดยผลกระทบต่อเงินเฟ้อ พบว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.08% และทำให้กรอบคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2561 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม 0.6-1.6% เพิ่มเป็น 0.7-1.7%
ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนค่าแรงในภาคการผลิตและบริการจะเพิ่มขึ้น 10,006 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.07% ของจีดีพี โดยกลุ่มแรงงานเข้มข้นจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงมากสุด คือ การก่อสร้าง การขายส่งและการขายปลีก ,การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ , โรงแรมและบริการด้านอาหาร ส่วนภาคอุตสาหกรรม คือ ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม , การฟอกและตกแต่งหนังฟอก ,เครื่องจักรสำนักงานโลหะขั้นมูลฐาน
ทางด้านผลกระทบต่อการส่งออก จะทำให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มขึ้น 0.022% หรือมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 167 ล้านบาทต่อปี โดยสาขาที่มีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ การพิมพ์ เครื่องหนัง เครื่องแต่งกาย โลหะประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบน้อย ได้แก่ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และยานยนต์
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะนัดหารือภาคเอกชนทุกกลุ่มสินค้าอีกครั้งภายในสัปดาห์หน้านี้ เพื่อแจ้งให้ทราบว่าผลการวิเคราะห์ต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำกระทบต่อต้นทุนสินค้าเท่าไร และภาคเอกชนมีความเห็นอย่างไร ถ้าพบว่าไม่มีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า ก็จะขอความร่วมมือให้ตรึงราคาจำหน่ายต่อไป
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย