บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 9-3-2022
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 9 มีนาคม 2565
INVESTMENT STRATEGY
ฟื้นตัว : เข้าสู่จุดน่าสะสม
วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,600 จุด และแนวต้าน 1,640 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picks วันนี้ แนะนำ “KBANK, MINT”
KBANK
ภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้คาดปรับตัวขึ้นสอดรับกับเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว โดยปัจจุบันราคาหุ้น KBANK เทรดเพียง PBV 0.7 เท่า ต่ำกว่า SCB ที่เทรด PBV 1 เท่า และยังได้อานิสงส์เชิงบวกจากดอกเบี้ยขาขึ้นมากกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนการถือหุ้นบจ.เมืองไทยประกันชีวิต 38%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 185 บาท
MINT
แนะทยอยสะสม MINT โดยคาดผลประกอบการปีนี้จะมีการฟื้นตัวที่รวดเร็วที่สุดจากฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในยุโรปที่น่าจะเร็วกว่าโรงแรมอื่นที่อยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก นอกจากนี้ในธุรกิจร้านอาหารในออสเตรเลียและจีน ยังมีแนวโน้มในการเติบโตที่ดี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 33 บาท
INVESTMENT THEME
สหรัฐฯแบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย : วานนี้นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศการแบนนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอย่างเป็นทางการ เพื่อกดดันปูติน แต่อย่างไรก็ดี การนำเข้าน้ำมันของสหรัฐฯจากรัสเซีย มีสัดส่วนราว 6.7 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นเพียง 0.5% ของอุปสงค์น้ำมันโลก ซึ่งถือว่าไม่สูงมากนัก อีกทั้งเราเชื่อว่ายุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ใช้น้ำมันจากรัสเซียจะไม่ใช้วิธีการแบนเหมือนสหรัฐฯ ดังนั้นประเด็นนี้อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น แต่ก็ถือว่ายังไม่รุนแรงนัก (เช้านี้ Brent +3.8% สู่ระดับ 127 เหรียญต่อบาร์เรล)
ลุ้นฟื้นตัว : แม้เหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครนยังยืดเยื้อ แต่ล่าสุดทางยูเครนแสดงท่าทีจะไม่เข้าร่วมกับกลุ่ม NATO ซึ่งอาจเป็น sentiment ที่ดีขึ้น ผสานกับวานนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนและเกิดสัญญาณ panic sell ไปแล้ว (ระหว่างวัน SET หลุด 1,600 จุด แต่สามารถกลับมาปิดเหนือได้ทั้งบริเวณจิตวิทยา 1,600 จุด และหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ที่ 1,612 จุด) สะท้อนโอกาสในระยะสั้น SET มีลุ้นเข้าสู่รอบการรีบาวน์ สอดคล้องกับทางด้านปัจจัยพื้นฐานที่ปัจจุบัน SET เทรดที่ระดับค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี ที่ 17.2 เท่า หรือคิดเป็นระดับดัชนี 1,620 จุด จึงเป็นปัจจัยที่สะท้อนว่า Valuation ของ SET ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสะสม
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET เกิด Technical Rebound หลังปรับตัวลงแรงในช่วงเช้า โดย SET ปิดที่ 1,626.70 (-45.02 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.27 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.7 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 2,847 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 800 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติ Short Futureที่ 31,972 สัญญา)
EYES ON
9 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย, ดัชนี China CPI
10 มี.ค. การประชุม ECB, ดัชนี US CPI, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
11 มี.ค. ดัชนีความเชื่อมั่น US
- Karnchang (CK)
Backlog จะเข้าสู่ New S-Curve
BUY
Share Price THB 19.50
12 m Price Target THB 24.00 (+23%)
Previous Price Target THB 24.00
ประเด็นการลงทุน
Backlog CK ปัจจุบัน จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าต้นปีก่อนเท่าตัว แนวโน้มในปีนี้เราคาดหมาย CK จะได้งานโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น โรงไฟฟ้าหลวงพระบาง และ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก รวมงานเดินรถ และ โครงการอื่นๆจะหนุน Backlog เพิ่มมากกว่า 2 แสนล้านบาท จะหนุนผลประกอบการ CK มีเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของประเทศ คือ BEM, CKP และ TTW มีมูลค่าถึง 6.1 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 36 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีแนวโน้มเติมโตในระยะยาว และ ช่วยเพิ่มงานให้ CK รวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งกำไร และเงินปันผล เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 โดยวิธี Sum of the Part เท่ากับ 24 บาท คงแนะนำ ซื้อ
Backlog สูง แนวโน้มจะได้งานขนาดใหญ่เพิ่ม
CK จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (8 มี.ค.) CK ประมูลงานใหม่ได้มากขึ้น Backlog ปัจจุบันเพิ่มเป็น 45,819 ล้านบาท และ กำลังจะลงนามเพิ่มในวันศุกร์นี้ คือ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ 2 สัญญา จะทำให้ Backlog เพิ่มเป็น 6.5 หมื่นล้านบาท มากกว่าต้นปีก่อนเท่าตัว CK คาดหวังจะเข้าประมูลงานใหม่ในปีนี้ 3.42 แสนล้านบาท เราคาดโครงการที่กลุ่ม CK+BEM มีโอกาสได้สูงคือ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกรวมงานเดินรถ 1.27 แสนล้านบาท และ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางซึ่งกำลังเจรจา ถ้าลงนาม CK จะมี Backlog งานก่อสร้างเพิ่มประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท หนุน Backlog CK ปลายปีนี้เพิ่มมากกว่า 2 แสนล้านบาท
ตั้งเป้าหมายรายได้ใกล้ปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นตั้งกรอบ 7%-9%
จาก Backlog ปัจจุบันผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ปีนี้ใกล้เคียงเพียงปีก่อน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงานเตรียมการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าหลวงพระบางอีกประมาณ 3-4 พันล้านบาท จะรับรู้ทันทีที่ลงนาม จะทำให้ยอดรับรู้รายได้ปีนี้จะเพิ่มเป็น 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23%-31%YoY ประเด็นการปรับตัวสูงขึ้นของวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก ปูน รวมถึงราคาน้ำมัน เนื่องจากงานใน Backlog ปัจจุบันของ CK จะเป็นงานของรัฐบาลส่วนใหญ่ ซึ่งจะมี ค่า K หรือ เงินชดเชย ถ้าหากต้นทุนวัสดุก่อสร้างขึ้นมากว่า 4% ผู้บริหารคาดหมายอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ระหว่าง 7-10% เทียบกับปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 7.9%
คาดรายได้ และ กำไรปีนี้จะเติบโต
เราประเมินยอดรับรู้ยอดรับรู้รายได้จาก Backlog 1.2 หมื่นล้านบาท ตามประมาณการของผู้บริหาร และ คาดโครงการหลวงพระบางจะลงนามปีนี้คาดจะรับรู้รายได้งานก่อสร้างล่วงหน้าอีก 3,500 ล้านบาท รวมเป็นยอดรับรู้รายได้ 15,500 ล้านบาท เติบโต 27% แต่ลดลงจากประมาณการเดิม 6% และ ประเมินกำไร 1,260 ล้านบาท เติบโต 39% แต่ลดลงจากประมาณการเดิม 15% จากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
TOA Paint (Thailand) (TOA)
เติบโต แต่ถูกกระทบจากต้นทุน
BUY
Share Price THB 26.75
12 m Price Target THB 35.00 (+31%)
Previous Price Target THB 37.00
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องหลังสถานการณ์ Covid-19 ผ่อนคลายลง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าหมายยอดขายจะเติบโต 10% แต่จะเผชิญกับปัญหาต้นทุนวัตถุดิบแพง คือ Tio2 และ ที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทำให้ปีนี้จะปรับขึ้นราคาอีก 8-10% ทำให้ EBITDA margin ปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อน 17% แต่ยังลดลงจากปี2563ซึ่งเท่ากับ 19.6% เราปรับประมาณการกำไรลดลง 5% เหลือ 2,029 ล้านบาท แต่ยังโตจากปีก่อน 3.8% TOA มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดในมือ และ เงินลงทุนระยะสั้นสูง 7.6 พันล้านบาท เราประเมินราคาเป้าหมาย 35 บาท บนฐาน Forward P/E เฉลี่ยประมาณ 35 เท่า ลดลงจาก 37 บาท จากปรับประมาณการลง คงแนะนำ ซื้อลงทุน
ตั้งเป้ายอดขายโต 10% แต่ถูกกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ
TOA ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน ปี 2565 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดขายจะเติบโต 10% หลังปีก่อนเติบโตได้ 8% ซึ่งยังไม่รวมการควบรวมกิจการของ ด้านต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นถูกกระทบจากต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้น คือ Tio2 สัดส่วน 19% ของต้นทุน ราคาปัจจุบันปรับขึ้นมาประมาณ 10% กว่า และ มีแนวโน้มจะขึ้นประมาณ 15% และ Oil Link สัดส่วนประมาณ 17% ของต้นทุน ราคาปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ดังนั้น TOA ได้พิจารณาปรับราคาขึ้นระหว่าง รอบที่สามใน เดือน มี.ค.-มิ.ย. หลังปีก่อนปรับราคาขึ้นสองรอบ คือ สินค้าสีทาอาคารขึ้น 8-10% สินค้าไม่ใช่สีทาอาคาร 4-6% ดังนั้น EBITDA margin ตั้งเป้าไว้ที่ 17% เท่าปีก่อน แต่ยังต่ำกว่าปี 2563 เท่ากับ 19.6%
ปีนี้ลงทุน 700 ล้านบาท ขยายธุรกิจครบวงจรมากขึ้น
ปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 700 ล้านบาท สำหรับโครงการต่างๆ เช่น ซ่อมโรงงานที่สำโรง ธุรกิจด้านฮาร์ดแวร์ ขยายกำลังการผลิต Resin และ ขยายศูนย์กระจายสินค้าในเวียดนาม นอกจากธุรกิจสีที่ส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 48.7% จะมีการขยายตลาดวัสดุก่อสร้างครบวงจรมากขึ้นช่วยเสริมการเติบโต เช่น กระเบื้อง อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และ เครื่องมือต่างๆ ล่าสุดเดือน มี.ค. นี้เตรียมเข้าซื้อ บริษัทยิปมั่นเทค ซึ่งผลิตแผ่นยิปซั่ม สัดส่วน 51% ใช้เงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งปี 2563 บริษัทยิปมั่นเทค มีรายได้ 865 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 126 ล้านบาท ปีนี้จะเปิด Mega Paint เป็น 20 สาขา จากปัจจุบัน 3 สาขา
คาดยอดขายจะโตดี แต่กำไรจะโตเล็กน้อย
เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการของผู้บริหาร เราปรับประมาณการยอดขายขึ้น 2% เป็น 19,327 ล้านบาท เติบโต 10% แต่ปรับลดกำไรลง 5% เนื่องจากถูกกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ คือ Tio2 และ ที่เกี่ยวกับน้ำมัน ปรับขึ้น คาดกำไร 2,029 ล้านบาท ซึ่งยังเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย 3.8%
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ