บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 26-1-2022
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 26 มกราคม 2565
INVESTMENT STRATEGY
ฟื้นตัว :
จับตาผลประชุม FED
วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,660 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโต โดย ATO Picks แนะนำ “SPRC, SCGP”
SPRC
คาดความต้องการใช้น้ำมันยังคงปรับตัวขึ้นเด่น ตามเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัว หนุนค่าการกลั่น และ spread ยังคงเดินหน้า ในขณะที่ทำลังการผลิตทั่วโลกยังออกมาค่อนข้างจำกัด คาดจะช่วยหนุนกำไร และหนุนการกลับมาจ่ายปันผล โดยเราประเมินอัตราปันผลปีนี้สูงราว 4.5%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 11.2 บาท
SCGP
แนวโน้มต้นทุนเศษกระดาษจะเริ่มลดลงจากภาวะอุปทานที่สูงขึ้น หนุนให้อัตราการทำกำไรช่วง 1Q65 จะเพิ่มขึ้น เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการปี 65 โดยเราคาดกำไรหลักปี 65 จะเติบโตเด่น +32%YoY จากทั้งการขยายกำลังผลิตและ M&P ปีที่แล้ว และปีนี้ยังมีแนวโน้ม M&P เพิ่มเติม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท
INVESTMENT THEME
จับตาผลประชุม FED : เข้าสู่ช่วงสำคัญของสัปดาห์นี้ คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวล ประธาน FED เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่าการปรับลด QE จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคมนี้ และคาดจะตามมาด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม โดยหากพิจารณาจาก Consensus จะพบว่าปัจจุบันตลาดประเมินโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในปีนี้อย่างต่ำ 4 ครั้งแล้ว ซึ่งก็คาดว่าถ้อยแถลงของ FED ไม่น่าจะเลวร้ายกว่าที่ตลาดประเมิน แต่อย่างไรก็ดีอาจต้องติดตามประเด็นการปรับลดงบดุลของ FED ที่ยังมีความไม่ชัดแจนในเกี่ยวกับรายละเอียด อาจเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาเพิ่มเติม โดยสรุป ณ ระดับ SET ปัจจุบัน ราคาดว่ามีการตอบรับปัจจัยเสี่ยงไปพอสมควร ดังนั้นควรจะมีโอกาสฟื้นตัว หลังการประชุม FED มีความชัดเจน มองบริเวณนี้เป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานดี กำไรเด่น
IMF ปรับลด GDP ทั่วโลก : รายงานล่าสุดจาก IMF ปรับลด GDP โลกปีนี้ลงสู่ 4.4% จากคาดเดิมที่ 4.9% จากการแพร่ระบาดของ COVID, ราคาพลังงานสูงขึ้น, เงินเฟ้อสูง และภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กับ จีน ที่ขยายตัวแย่กว่าคาดเดิม โดยประเมิน GDP สหรัฐฯที่ 4% (จากคาดเดิมที่ 5.2%) และจีน ที่ 4.8% (จากคาดเดิมที่ 5.6%) ส่วนไทยโดนปรับสู่ 4.1% (จากคาดเดิมที่ 4.5%) ลงมาใกล้กับคาดการณ์ของเราที่ 4%
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ย่อเล็กน้อย โดยยังคงมีแรงขายลดเสี่ยงก่อนถึงการประชุม FED โดย SET ปิดที่ 1,639.09 (-1.45 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.5 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.7 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 3,421 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 357 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Future ที่ 12,173 สัญญา)
Mega Lifesciences (MEGA TB)
4Q64 เติบโตชะลอตัว QoQ
BUY
Share Price THB 45.25
12 m Price Target THB 55.00 (+22%)
Previous Price Target THB 63.50
คงคำแนะนำ ซื้อ ลดราคาเป้าหมายเหลือ 55 บาท
เราคาดว่ากำไรหลัก 4Q64 จะเติบโต 6% YoY และลดลง 11% QoQ สู่ระดับ 477 ล้านบาท ปกติแล้ว ไตรมาส 4 จะมีกำไรสูงสุด แต่การลดลง QoQ ในไตรมาส 4/64 นี้อาจเกิดจาก 1) การระบาดของโควิดคลี่คลายลง (ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ติดเชื้อสูงสุดใน 3Q64) และ 2) ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมาร์ (ตลาดหลัก) ส่งผลยอดขายทรงตัวในธุรกิจจัดจำหน่าย โดยในไตรมาส 4/64 เราคาดว่ายอดขายธุรกิจแบรนด์จะเติบโต 4% YoY และลดลง 14.7% QoQ เป็น 1.74 พันล้านบาท และยอดขายธุรกิจจัดจำหน่ายจะทรงตัว YoY และลดลง 5.7% QoQ เป็น 1.76 พันล้านบาท ดังนั้น เราจึงปรับลดคาดการณ์กำไรหลัก 5.7% และ 5.3% สำหรับปี 64 และ 65 ตามลำดับ พร้อมหั่นราคาเป้าหมายเหลือ 55 บาท
คาดกำไรปี 65 เติบโต 3.4%
สำหรับปี 65 เราประเมินยอดขายของธุรกิจที่มีแบรนด์จะเพิ่มขึ้น 3% และยอดขายของธุรกิจจัดจำหน่ายจะทรงตัว ดังนั้น การเติบโตของยอดขายโดยรวมอาจอยู่ที่ 1.4% เป็น 1.47 หมื่นล้านบาท เนื่องจากธุรกิจแบรนด์มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าธุรกิจจัดจำหน่าย (63.5% เทียบกับ 20.6%) การเติบโตของยอดขายธุรกิจแบรนด์ที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 41.3% ในปีง 65 จาก 41.1% ในปี 64 ส่งผลให้กำไรหลักเติบโต 3.4% เป็น 1.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ หากการระบาดของโควิด-19 กลับสู่ภาวะปกติ เราคาดว่าการเติบโตของกำไรหลักจะเข้าสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป โดยเพิ่มขึ้น 9% ในปี 66 และ 12.2% ในปี 67
เดินหน้าปั๊มกำไรโตสองเท่าตั้งแต่ปี 62-68
ผู้บริหารตั้งเป้าเพิ่มกำไรเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 62-68 ซึ่งเรามองว่าเป็นไปได้ แม้แนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 65 จะอ่อนแอ อันเนื่องมาจากการการระบาดของ Covid อาจบรรเทาลง ในอดีต MEGA สามารถทำกำไรเติบโตสองหลักต่อปีได้ อันเนื่องมาจากความภักดีต่อแบรนด์ที่แข็งแกร่งในธุรกิจแบรนด์และเป็นผู้นำในธุรกิจการจัดจำหน่ายที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนาม เราคาดว่ากำไรหลักจะแตะ 2.6 พันล้านบาทในปี 68 เพิ่มขึ้นจาก 1.2 พันล้านบาทในปี 62
6Y PEG ที่ 0.9 เท่า ราคาไม่แพง
MEGA เทรดที่ 21.5 เท่าของ พีอีปี 65, ต่ำสุดในหุ้น healthcare ในภูมิภาค (เฉลี่ย 32.1 เท่า) ราคาหุ้นที่มี 18% อัพไซด์ของการประเมินราคาหุ้นแบบ DCF หมายถึงพีอีที่ราคาเป้าหมาย 25.4 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เนืองจาก PEG ที่ 0.9 เท่า ในช่วง 6 ปี (62-68) เราเชื่อว่าราคาหุ้นนี้ไม่แพงถึงแม้จะมีการเติบโตของกำไรที่ช้าลงในปี 65 ซึ่งเป็นเหตุผลที่เรามีคำแนะนำซื้อ ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1) โควิด-19 คลี่คลายเร็วกว่าคาดอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 2) เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมาร์ที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจการจัดจำหน่ายอย่างมีนัยสำคัญ
Yuwanee Prommaporn
(66) 2658 5000 ext 1393
SCG Packaging (SCGP)
รายการพิเศษหนุน 4Q64 แนวโน้มโตสูง
BUY
Share Price THB 62.00
12 m Price Target THB 75.00 (+21%)
Previous Price Target THB 75.00
ประเด็นการลงทุน
กำไรสุทธิ 4Q64 สูง 2,116 ล้านบาท (+19%QoQ, +42%YoY) จากรายการพิเศษ ถ้าหากตัดรายการนี้จะมีกำไรปกติลดลงเหลือ 1,359 ล้านบาท (-12%QoQ, -17%YoY) ถูกกระทบจากต้นทุนเศษกระดาษสูงในสต็อก แนวโน้ม 1Q65 คาดจะฟื้นตัวเด่นรับผลบวกจากสเปรดดีขึ้น ปี 2565 จะเติบโตสูงจากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และ กลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร และ การบรูณาการภายในห่วงโซ่คุณค่า ตั้งงบลงทุน 5 ปี 1 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนการเติบโต จ่ายปันผลกำไรครึ่งปีหลัง 0.40 บาท รวมจ่ายปี 2564 เท่ากับ 0.65 บาท คิดเป็นปันผลตอบแทน0.9% คงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 75 บาท ด้วยวิธี DCF บนสมมติฐาน WACC 8% และ L-T terminal growth 3.2%
กำไรสุทธิ 4Q64 สูง 2,116 ล้านบาท (+19%QoQ, +42%YoY) จากรายการพิเศษ
SCGP ประกาศผลประกอบการ มีกำไรสุทธิ 4Q64 ที่สูงเด่นเท่ากับ 2,116 ล้านบาท (+19%QoQ, +42%YoY) มากกว่าเราคาดจะมีกำไรสุทธิ 1,860 ล้านบาท แรงหนุนรายการพิเศษจาก Go-Pak ถ้าหากตัดรายการนี้จะมีกำไรปกติที่ลดลงเหลือ 1,359 ล้านบาท (-12%QoQ, -17%YoY) ถูกกระทบจากต้นทุนเศษกระดาษที่สูงในสต็อก ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเหลือ 14.7% จาก 17.3% ในไตรมาสก่อน และ 19.1% ในปีก่อน ด้านยอดขายเติบโตได้ดี 35,145 ล้านบาท (+10%QoQ, +49%YoY) ได้แรงหนุนเพิ่มจากการ M&P (Duytan และ Intan) เต็มไตรมาส
ปี 2565 ตั้งเป้ายอดขาย 1.4 แสนล้านบาท วางงบลงทุน 1 แสนล้านบาท 5 ปี
จากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน ผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 เท่ากับ 1.4 แสนล้านบาท หรือ เติบโต 13% แรงหนุนการควบรวมกิจการ (M&Ps) และ ขยายกำลังการผลิต SCGP ได้วางงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2565-2569) ไว้ที่ 1 แสนล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ยต่อปี 2 หมื่น ล้านบาท โดยปีนี้จะแบ่งเป็น ใช้ในการทำ M&P จำนวน 1 หมื่นล้านบาท และการขยายกำลังการผลิตอีก 1 หมื่นล้านบาท หนุนรายได้เติบโตเป็น 2 เท่า
แนวโน้ม1Q65จะฟื้นตัวเด่น และ ปี2565จะเติบโตสูง
สเปรดระหว่าง ราคาผลิตภัณฑ์ในตลาด คือ Testliner กับต้นทุนเศษกระดาษ (AOCC) ในไตรมาสก่อนได้พุ่งขึ้นเป็น 250 เหรียญ/ตัน (+52%QoQ, +2%YoY) คาดจะส่งผลบวกเต็มที่ใน 1Q65 ทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวเด่น แนวโน้มปี 2565 เราคาดจะเติบโตสูง แรงหนุนจาก 5 โครงการที่ขยายกำลังการผลิตที่ทยอยเสร็จในปี 2564-2565 จะช่วยเพิ่มยอดขายรวม 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี รวมถึง M&P 3 บริษัท (DuYtan, Intan และ Deltalab) จะช่วยเพิ่มยอดขายต่อปีประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท และ ยังบวกด้วยการเติบโตสูง ทำให้ปี 2565 เราคาดยอดขายจะโต 17% สู่ระดับ 145,793 ล้านบาท และ มีกำไร 10,561 ล้านบาท โต 32%
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Maria Lapiz
(66) 2257 0250
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ