บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 25-1-2022
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 25 มกราคม 2565
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ยังรอความชัดเจนของ FED
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,660 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโต โดย ATO Picks แนะนำ “SAT, GLOBAL”
SAT
ตัวเลขอุตสาหกรรมรถยนต์เดือน ธ.ค. อยู่ในเกณฑ์ดี หลัง Covid-19 ดีขึ้น คลายล็อกดาวน์, ปัญหาไมโครชิปขาดแคลนเริ่มดีขึ้น คาดจะส่งผลบวกต่อกลุ่มยานยนต์ แนะสะสม SAT แนวโน้มกำไรปี 65 ขยายตัว 9% ปัจจุบันเทรด PE เพียง 8.7 เท่า และคาดอัตราปันผลปีนี้สูง 7.4% ต่อปี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 25.5 บาท
GLOBAL
คาดกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 689 ล้านบาท เติบโต +5% QoQ และ +82% YoY จากคาด SSSG แข็งแกร่ง +15% และมีการเปิดสาขาใหม่ 1 แห่งที่เชียงราย และกำไรปี 2565 คาด +9% ถูกผลักดันจากการขยายสาขา7-8 แห่ง, เพิ่มสัดส่วนสินค้า House brand และการขยายไปยังต่างประเทศ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 27.5 บาท
INVESTMENT THEME
ยังรอความชัดเจนของ FED : ช่วงที่ผ่านมาตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกตอบรับปัจจัยลบจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนต่อการใช้นโยบายของ FED เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯเร่งตัวขึ้นเร็ว (คาดเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเดือนมีนาคมนี้) รวมถึงอาจใช้นโยบายปรับลดงบดุลอีกด้วย ดังนั้นยิ่งเข้าใกล้การประชุม ก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดแรงขายลดความเสี่ยง เพื่อรอความชัดเจนหลังการประชุม แต่อย่างไรก็ดีล่าสุด ดัชนี VIX index ที่เป็นตัวสะท้อนความกลัวของตลาดเริ่มย่อตัวลงหลังทดสอบระดับใกล้ 40 จุด และตลาดหุ้นสหรัฐฯเริ่มรีบาวน์ ปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าตลาดก็ตอบรับปัจจัยลบต่างๆไปพอสมควรแล้ว ซึ่งหากผลการประชุม FED ไม่ได้มีอะไรที่แย่กว่าคาด ก็อาจเห็นแรงซื้อกลับได้ในช่วงถัดไป
PMI สหรัฐฯ ต่ำคาด : วานนี้สหรัฐฯรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือนมกราคม ลดลงสู่ระดับ 55 จุด จาก 57.7 และต่ำกว่าคาดที่ 56.7 จุด เช่นเดียวกับ PMI ภาคบริการที่ลดลงแรงสู่ระดับ 50.9 จุด จาก 57.6 และต่ำกว่าคาดมากที่ 55.4 จุด
PMI ยูโรโซน ภาคการผลิตยังดี : ส่วนด้านยูโรโซนพบว่า PMI ภาคการผลิตยังคงเติบโตสู่ระดับ 59 จุด จาก 58 และดีกว่าคาดที่ 57.5 จุด แต่ทางด้านภาคบริการชะลอตัว สู่ระดับ 51.2 จุด จาก 53.1 และต่ำกว่าตลาดคาดที่ 52 จุด
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ย่อสร้างฐาน โดยมีแรงขายลดเสี่ยงก่อนถึงการประชุม FED 25-26 ม.ค.นี้ โดย SET ปิดที่ 1,640.54 (-12.19 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.7 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.1 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 2,206 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 2,452 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Future ที่ 5,203 สัญญา)
EYES ON
25 ม.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค US
26 ม.ค. การประชุม FED, ยอดขายบ้านใหม่ US
27 ม.ค. ผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน US, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน US, 4Q64 US GDP,
28 ม.ค. US Core PCE, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยูโรโซน
Srinanaporn Marketing (SNNP)
แข็งแกร่งกว่าที่คาด
BUY
Share Price THB 17.10
12 m Price Target THB 18.80 (+10%)
Previous Price Target THB 13.50
ประเด็นการลงทุน
เราปรับเพิ่มประมาณการและราคาเป้าหมาย (DCF) เป็น 18.80 บาท สะท้อนศักยภาพเติบโตยั่งยืนจากการขยายฐานธุรกิจไปต่างประเทศ รวมทั้งการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงและได้รับการตอบรับดี แนวโน้มกำไร 4Q64 เป็น new high และเติบโตอย่างมีนัยยะในปี 2565 จากการออกสินค้าใหม่ การเพิ่มช่องทางขายที่มีอัตรากำไรดี โรงงานในเวียดนามเริ่มผลิต และการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ต้นทุนสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง เราแนะนำซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง
คาดกำไรปกติ 4Q64 เป็น new high
คาดการณ์ยอดขาย 4Q64 เพิ่มขึ้นจากการคลายล็อกดาวน์ทั้งในไทยและต่างประเทศ อีกทั้งโรงงานกลับมาผลิตได้ตามปกติหลังจากกำลังการผลิตลดลงในเดือน ก.ค. ที่มีการทำ Bubble and Seal อีกทั้ง SNNP ออกสินค้าใหม่หลายตัวโดยเฉพาะ Jele Chewy ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากและเป็นสินค้า premium mass ซึ่งมีอัตรากำไรค่อนข้างสูง เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 130 bps YoY เป็น 26.1% อีกทั้งค่าใช้จ่ายลดลงจากการ Deconsolidate บริษัทสิริโปรและการชำระคืนหนี้สินทั้งหมด เราคาดกำไรสุทธิ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78% QoQ, 197% YoY โดยคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผล 2H64 เท่ากับ 0.15 บาท/หุ้น
ยอดขายเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปีนี้ยอดขายในไทยจะถูกผลักดันจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการออกสินค้าใหม่ๆซึ่งรวมถึงสินค้าหลายชนิดที่มีส่วนประกอบของกัญชง-กัญชา และโรงงานแห่งแรกที่เวียดนามจะเริ่มผลิตในเดือน ก.ค. คาดว่าจะทำให้ยอดขายในเวียดนามปีนี้เติบโตกว่า 60% และมีศักยภาพเติบโตสูงจากการปรับโครงสร้างราคาสินค้าให้เป็น mass มากขึ้น รวมทั้งขยายช่องทางขายไปยัง Traditional trade ซึ่งเป็นช่องทางขายหลักในเวียดนาม นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลงจากการที่ต้นทุนวัตถุดิบต่ำกว่าไทยและประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ยอดขายในกัมพูชาคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมทั้งอินโดนีเซียและจีนซึ่งยอดขายยังไม่มากแต่มีโอกาสเติบโตระยะยาว
แม้ต้นทุนสูงขึ้น แต่อัตรากำไรยังเพิ่มขึ้นในปีนี้
แม้ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น แต่เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม 125 bps YoY เป็น 27.1% เนื่องจากการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น การเน้นขายทาง Traditional Trade (อัตรากำไรสูงกว่า Modern Trade) และการควบคุมต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพจากทีม R&D มีความยืดหยุ่นในการปรับสูตรสินค้าและหาวัตถุดิบทดแทน รวมทั้งมี Portfolio สินค้าหลายหลายซึ่งใช้วัตถุดิบหลายชนิดและมาจากซัพพลายเออร์หลายราย อีกทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรทำให้ความสูญเสียในการผลิตลดลง
ความเสี่ยง: การระบาดของโควิด ต้นทุนเพิ่มอย่างมีนัยยะ การลงทุนต่างประเทศ
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
Kiatnakin Bank (KKP TB)
หุ้นเด่นในกลุ่มแบงก์ไซส์กลาง-เล็ก
BUY
Share Price THB 67.75
12 m Price Target THB 80.00 (+18%)
Previous Price Target THB 70.00
เพิ่มคาดการณ์ EPS และ TP สะท้อนต้นทุนเครดิตที่ลดลง
เราเชื่อว่า KKP เป็นผู้รับอานิสงส์หลักจากตลาดทุนที่เติบโตแข็งแกร่ง พร้อมการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินเชื่อดีขึ้นและ NPL coverage สูงขึ้น เราปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 65-66 ขึ้น 4-5% เพื่อสะท้อนต้นทุนเครดิตที่ลดลง คงคำแนะนำ ซื้อ เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 80 บาท (P/BV ปี 65 ที่ 1.24 เท่า ROE 12.3%) ราคาหุ้นน่าสนใจเนื่องจากซื้อขายที่ PER ปี 65 ที่ 8.6 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มแบงก์ที่ 9.4 เท่า ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ คุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอและยอดขายรถยนต์ที่ยึดมาขาดทุนเกินคาด
กำไร 4Q64 และปี 64 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กำไร 4Q64 เพิ่มขึ้น 83% YoY และ 37% QoQ แตะ 2 พันล้านบาท ดีกว่าที่เราคาด 34% จากการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมที่แข็งแกร่ง กำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 23% YoY สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.3 พันล้านบาท โดยสินเชื่อปี 64 เติบโต 16% YoY ได้แรงหนุนจากสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อองค์กรที่โตแรง รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้น 40% YoY ในปี 64 จากค่าธรรมเนียมจากตลาดทุนที่เพิ่มขึ้นแกร่ง ได้แก่ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการบริหารความมั่งคั่ง ผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ยึดมาเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 พันล้านบาทในปี 64 เทียบกับ 1.3 พันล้านบาทในปี 63 หากไม่รวมรายการเหล่านี้ อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 39% ในปี 64 จาก 41% ในปี 63 อัตราส่วน NPL ลดลง 41bp QoQ เป็น 3.04% ในไตรมาส 4/64 ขณะที่ NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 175% ในไตรมาส 4/64 จาก 158% ในไตรมาส 3/64
KKP ตั้งเป้าสินเชื่อโตแกร่งและลดต้นทุนสินเชื่อในปี 2565
เรามีมุมมองบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ โดย KKP เผยเป้าหมายทางการเงินปี 65 ที่การเติบโตของสินเชื่อ 12% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อลดลงแตะ 5.1% (เทียบกับ 5.3% ในปี 64) เนื่องจากธนาคารมีแผนที่จะขยายสินเชื่อคุณภาพดีในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อองค์กร อัตราส่วน NPL น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.3% ในปี 65 จาก 3.0% ในปี 64 แต่ต้นทุนสินเชื่อน่าจะลดลงเหลือ 'น้อยกว่า 220bps' ในปี 65 จาก 265bps ในปี 64 ทั้งนี้ CEO เชื่อว่าเงินสำรองหนี้เสียปัจจุบันเพียงพอแล้วหลังจากที่ธนาคารจัดสรรสำรองไว้เพิ่ม สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตตที่คาดจะเกิดขึ้นจำนวน 4.3 พันล้านบาทในปี 63-64 ในแง่บวก ธนาคารสามารถเรียกเก็บหนี้ได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4/64
คาดรายรับค่าธรรมเนียมปี 65 จะลดลง YoY จากฐานสูง
CEO ไม่ได้เผยถึงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม เนื่องจากค่าธรรมเนียมจากวาณิชธนกิจ (IB) และนายหน้าซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด เราคาดว่ารายรับค่าธรรมเนียมสุทธิจะลดลง 9% YoY เนื่องจากผลกระทบจากฐานที่สูงของรายได้ค่าธรรมเนียม IB และค่าธรรมเนียมนายหน้า ในแง่บวก เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง เนื่องจากฐานสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 23% YoY เป็น 7.34 แสนล้านบาท โดยมีอัตราผลตอบแทนค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 29bps ในปี 64 เทียบกับ 23bps ในปี 63
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ