WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-3-2021May

INVESTMENT STRATEGY

ย่อสร้างฐาน :

ราคาน้ำมันดิบโลกลงแรง

วันนี้คาด SET ย่อสร้างฐาน ประเมินแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “AMATA, SAT”

AMATA

คาดแนวโน้มของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น โดยเราเชื่อว่าจะเกิดความต้องการซื้อที่ดินที่รออยู่จะช่วยหนุนให้กำไรกลับเข้ามา หากมีการเปิดประเทศที่ชัดเจน โดยวันนี้แนะติดตาม ศบค.ชุดใหญ่ ที่อาจจะเพิ่มความชัดเจนต่อกระบวนการในช่วงถัดไป

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 20 บาท

SAT

ยอดผลิตรถยนต์ไทย กพ. กลับมาเติบโต 155,200 คัน (+5%MoM, +3%YoY) โดยแบ่งเป็น ตลาดรถยนต์ในประเทศ 58,960 คัน (+7%MoM) และ ยอดส่งออก 79,470 คัน (+7%MoM) และคาด มี.ค.-เม.ย.จะดีขึ้นต่อจากแรงหนุนงานมอเตอร์โชว์ และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก  

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 20 บาท

INVESTMENT THEME

ราคาน้ำมันดิบโลกลงแรง

- ตลาดยังกังวลต่อเงินเฟ้อ : ยังคงเห็นสัญญาณของแรงขายพันธบัตรระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวแรง เป็นปัจจัยเร่งให้อัตราเงินเฟ้อแกว่งสูงขึ้น สะท้อนออกมาให้เห็นการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของหสรัฐฯ ที่เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่มกราคม 2563 สู่ระดับ 1.714%

- ราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งตัวลงแรง : วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลงแรงกว่า -7% ตอบรับความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ในยุโรป ซึ่งพบว่าหลายประเทศมีการระงับการใช้วัคซีนจากแสนตร้าเซนเนก้า เนื่องจากมีรายงานผลข้างเคียงหลังฉีดโดยเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดต้น แต่อย่างไรก็ดีล่าสุดทั้งด้าน WHO และทาง อย.ของยุโรป ก็ออกมารับรองความปลอดภัย ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบางประเทศกลับมาฉีดอีกครั้ง จึงมองราคาน้ำมันที่ปรับฐานอาจเริ่มจำกัด

- ระมัดระวังการปรับพอร์ต FTSE และจับตาประชุม ศบค. ชุดใหญ่ : ปัจจัยในประเทศวันนี้แนะติดตามการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งอาจมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมของ Timeline การเปิดประเทศ ส่วนในช่วงท้ายแนะเพิ่มความระมัดระวังจากการปรับพอร์ตของ FTSE Rebalancing โดยรอบนี้ตลาดหุ้นไทยถูกปรับลดน้ำหนักจาก 2.3% ลงสู่ 2.25% ซึ่งอาจทำให้หุ้นขนาดใหญ่แกว่งผันผวน

SET

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์

1,568.82     +2.06

สรุปมูลค่าการซื้อขาย 18 มี.ค. 64

นักลงทุน                                 สุทธิ

สถาบัน                                 916.88

บัญชี บล.                             470.24

ต่างชาติ                               -735.91

ในประเทศ                           -651.20

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET เปิดโดดรับผลประชุม FED ที่คงดอกเบี้ยต่ำ แต่ย่อตัวในช่วงถัดมาจากแรงขายต่างชาติ โดย SET ปิดที่ 1,568.82 (+2.06 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.2 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 736 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 917 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 1,926 สัญญา)

EYES ON

19 มี.ค. FTSE Rebalancing , ประชุม ศบค.ชุดใหญ่

Sri Trang Gloves (Thailand) (STGT)

ยังไม่เสียความสามารถในการแข่งขัน

BUY

Share Price           THB 39.75

12m Price Target     THB 49.25

Previous Price Target THB 50.00

โครงสร้างผู้เล่นในตลาดเปลี่ยน แต่ STGT แกร่งไม่เปลี่ยน

เราคงคำแนะนำ ซื้อตามเดิม แม้ว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมถุงมือยางโลกกำลังจะเปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการจีนกำลังจะมีบทบาทสูงขึ้นมากในปี 2565-66 แต่ตัวแทนผู้ประกอบการไทยอย่าง STGT จะยังคงรักษาตำแหน่งใน top 4 ของโลกได้ บนความได้เปรียบที่เหนือกว่าในด้านวัตถุดิบ จากการที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งมาก โดยระหว่างเฝ้าดูพัฒนาการของผู้ประกอบการจีนนั้น STGT ยังสามารถให้เงินปันผลระดับสูง Dividend Yield ระดับ 10.9% และมี valuation ที่ปลอดภัยเพียง P/E21F 4.6x

ผู้เล่นจีนจะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2566 ทว่า STGT ยังรักษาตำแหน่งได้ดี

ทีมวิจัย Maybank IB ได้ระบุว่า ผู้ประกอบการถุงมือยางจีน 2 รายใหญ่ (Intco และ Blue Sail) กำลังเร่งขยายกำลังกรผลิตอย่างรวดเร็วใน 2 ปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าคาด อีกทั้งยังโฟกัสไปที่ถุงมือยางแบบการแพทย์ (medical grade) ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการในอาเซียน โดยในปี 2566 Into จะมีกำลังการผลิต 173 พันล้านชิ้น เป็นรองเพียง Top Glove ที่ 175 พันล้านชิ้น) ขณะที่ Blue Sail จะเป็นอันดับ 3 ที่ 80 พันล้านชิ้น) ส่วน STGT ยังรั้งอันดับ 4 ได้ที่ 65 พันล้านชิ้น ขณะที่อุปสงค์ในถุงมือยาง Latex และ Nitrile ในปี 2565 จะเริ่มชะลอลงสู่ +10% YoY และ +20% YoY ตามลำดับ (จาก +26% YoY และ +28% YoY ในปี 2564) ดังนั้น ภาวะอุอปทานส่วนเกิน (Oversupply) คาดจะเกิดขึ้นในปี 2566 เป็นต้นไป หลังหักความล่าช้าในการก่อสร้างของ 2565 ไปบ้างก็ตาม

ราคาถุงมือโลกมีโอกาสอ่อนตัวลงอีกในปี 2566 แต่ปี 2564 ยังยอดเยี่ยม

จากแนวโน้มข้างต้น เราจึงได้ปรับประมาณการสมมติฐานราคาถุงมือยางเฉลี่ยในปี 2566 ลงจากเดิม คาดหด 10% เป็นหดตัว 20% หรือ 29.7 เหรียญ/ 1000 ชิ้น จาก 34.9 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ใน 4Q63 และ สมมติฐาน เฉลี่ย 53.0 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2566 ถูกปรับลง 14.6% และให้ภาพว่าปี 2564 เป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัทที่กำไร 2.48 หมื่น ลบ. ปรับจูนลงเล็กน้อย 1.3%

ระหว่างรอดู ยังให้ปันผลสูง yield 10.9-8.7% บน valuation ไม่แพง P/E 4.6x

เราคงคำแนะนำ ซื้อราคาเหมาะสมปรับจูนลงเล็กน้อย 49.25 บาท/ หุ้น อิง P/E เฉลี่ยกลุ่ม 5.7 เท่า ตามเดิม เรามองว่าระดับ dividend yield 10.9% - 8.7% ใน 2 ปีนี้ ยังเพียงพอสำหรับการเฝ้าดูการพัฒนาของผู้ประกอบการจีนได้ โดยจุดสังเกตุที่น่าสนใจคือ พื้นที่ปลูกยางพาราของไทยกำลังลดลงต่อเนื่องปีละ 2.5 แสนไร่ตามแผนยุทธศาสตร์ล่าสุดในปี 2562 ซึ่งตรงนี้ อาจเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการจีนไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เร็วตามต้องการ และนั่นจะเป็น upside risk ของประมาณการปี 2566

Jaroonpan Wattanawong

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1404

GFPT PCL (GFPT)

แนวโน้มอัตรากำไรลดลง

HOLD

Share Price           THB 12.30

12m Price Target     THB 13.00 (+6%)

Previous Price Target THB 13.00

ประเด็นการลงทุน

การขยายกำลังการผลิตจะเสร็จทั้งหมดใน 3Q64 ทำให้การส่งออกฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี อัตรากำไรจะถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และค่าเสื่อมราคาของสายการผลิตใหม่ อีกทั้งการส่งออกไปญี่ปุ่นและยุโรปยังชะลอตัวในช่วง 1Q64 ทำให้คาดว่ากำไร 1Q64 ลดลง YoY เรายังคงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 13 บาท (PE 13 เท่า อิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)

แนวโน้มกำไร 1Q64 ลดลง YoY

เราคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นจะกดดันให้กำไรสุทธิ 1Q64 ลดลง YoY ราคากากถั่วเหลืองใน 2M64 ปรับตัวขึ้น 37% YoY มาที่ 18.9 บาท/กก. และราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้น 8% YoY เป็น 9.4 บาท/กก. ขณะที่ราคาไก่ลดลง 10% YoY เป็น 32 บาท/กก. ประกอบกับไตรมาส 1 เป็นโลว์ซีซั่น และการส่งออกไก่ไปญี่ปุ่นยังชะลอตัวเนื่องจากความต้องการบริโภคลดลงจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนการส่งออกไปยุโรปยังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ อีกทั้ง GFPT กำลังมีการเปลี่ยนสายการผลิตเฟส 2 ทำให้กำลังการผลิตยังไม่กลับสู่ระดับปกติ

สายการผลิตใหม่เสร็จใน 3Q64

สายการผลิตใหม่ 2 ไลน์ของ GFPT ซึ่งทดแทนสายการผลิตที่ไฟไหม้เมื่อ 4Q62 ได้เริ่มผลิตแล้วใน 1Q64 และ GFPT กำลังติดตั้งเครื่องจักรใหม่ของสายการผลิตอีก 3 ไลน์ ล่าช้าจากเดิมเล็กน้อย โดยจะเสร็จในช่วงต้น 3Q64 ทำให้กำลังการผลิตรวมสำหรับ 5 ไลน์ เพิ่มขึ้น 25-50% เป็น 2,500-3,000 ตัน/เดือน โดยบริษัทคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 50-60% ใน 3Q64 ส่วน McKey จะขยายกำลังการผลิตไก่ส่งออก 50% หรือคิดเป็น 30,000 ตัน/ปี ทำให้มีกำลังการผลิตรวมเป็น 90,000 ตัน/ปี โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปีนี้

ยอดขายฟื้นตัวแต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง

โดยภาพรวมปีนี้ GFPT คาดว่าราคาไก่จะเพิ่มขึ้นเป็น 34-35 บาท/กก. จาก 33 บาท/กก. ในปีก่อน ปริมาณไก่ส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3-5% โดยจะเริ่มฟื้นตัวใน 2H64 ตามสถานการณ์โควิดคลี่คลายและกำลังการผลิตกลับมาสู่ระดับปกติ เราคาดว่ายอดขายปีนี้ฟื้นตัว 4% จากฐานต่ำ แต่คาดว่าอัตรากำไรข้นต้นลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรใหม่ และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังไม่มากนักเนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นการผลิตในสายการผลิตใหม่

ความเสี่ยง: Oversupply ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม การส่งออกลดลง ขยายกำลังผลิตล่าช้า

Suttatip Peerasub

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1430

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!