WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 1-2-2021May
กลยุทธ์การลงทุน 
SET 
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 
1,466.98           -1.53
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 
นักลงทุน            สุทธิ 
สถาบัน        -1,147.23
บัญชี บล.         -383.83
ต่างชาติ       -3,360.66
ในประเทศ    4,891.72
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET ปรับฐาน โดยตลาดยังคงเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ โดย SET ปิดที่ 1,466.98 (-1.53 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 9.6 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.2 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 3,361 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 1,147 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 14,136 สัญญา)
STOCKPICKS & TRADING IDEA 
AP (ราคาเป้าหมาย 8.26 บาท) คาดกำไรปี 64 จะยังทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรดเพียง PE 6 เท่าและ PBV 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรมแม้จะเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯ ผสานกับปันผลที่อยู่ในระดับสูงถึง 5.7% (จ่ายปีละครั้ง) เพิ่มความน่าดึงดูดในการทยอยสะสม
INVESTMENT THEME
เน้นหุ้นปันผลสูง ฝ่าสถานการณ์ตลาดผันผวน : ภาพรวมการลงทุนในระยะสั้นยังมีหลากหลายปัจจัยกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น 1) ความล่าช้าต่อการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ US (American rescue plan)  ให้ออกมาเป็นรูปธรรม 2) ราคาหุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรป ที่ Hedge Fund มีการถือครองสถานะ Short สูง เช่น Gamestop, Blackberry, AMC Entertainment and Express มีการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของ Hedge Fund หลายแห่งมีสถานะขาดทุนสูง จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อหุ้นอื่นที่อยู่ในพอร์ตถูกขายทำกำไรเพื่อเอามาช่วยชดเชยความเสี่ยงของสถานะถือครอง Short ข้างต้น เป็นปัจจัยลบต่อภาพการลงทุนในระยะสั้น 3) ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยลง หลังจากต้นปีไทยเกิดภาวะแพร่กระจายของ COVID-19 ในระลอกที่สอง ดังนั้นด้วยหลากหลายปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว จึงแนะเพิ่มความระมัดระวังในระยะสั้นมากยิ่งขึ้น โดยคาดหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงและพื้นฐานแข็งแกร่ง จะเป็นหุ้นที่สามารถชนะตลาดได้ในช่วงนี้
Investment Strategy : วันนี้คาด SET แกว่ง sideway แนวรับ 1,450 จุด และแนวต้าน 1,480 จุด เน้นหุ้นปันผลสูงและพื้นฐานแข็งแกร่ง  ATO Picks วันนี้แนะนำ “AP, JMART”
EYES ON
ปัจจัยต่างประเทศ :                                                                                                                                                       - 1 ก.พ. PMI & ISM ภาคการผลิตของ US, Eurozone (ม.ค.)                                                                                          - 2 ก.พ. ดัชนี 4Q63 GDP ของยูโรโซน 
ปัจจัยในประเทศ :                                                                                                                                                   -1ก.พ. ดัชนี PMI ภาคการผลิต (ม.ค.)                                                                                                                            -3 ก.พ. การประชุม กนง.                                                                                                                                            -5 ก.พ. ดัชนี CPI (ม.ค.)                                                                                                                                             -การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
SET                                                                                                    แนวรับ : 1459 / 1430                                                                                   
           แนวต้าน 1480 / 1492 
Kasikornbank (KBANK TB)
หุ้นเด่น กลุ่มแบงก์
BUY 
Share Price                  THB 127.00
12m Price Target        THB 160.00 (+26%)
Previous Price Target THB 160.00
ปีแห่งการสร้างรายได้และปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์
CEO เผยความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าดีกว่าที่คาดไว้และพอใจกับคุณภาพสินทรัพย์ในปัจจุบัน เราประเมินผลประกอบการน่าจะดีขึ้นจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นพร้อมต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง หนุนการเติบโตของรายได้ในปี 2564-65 หุ้น KBANK ซื้อขายด้วยมูลค่าที่น่าสนใจที่ P/BV ปี 64 ที่ 0.64 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ ในฐานะหุ้นเด่น ราคาเป้าหมาย 160 บาท คิดเป็น P/BV ปี 64 ที่ 0.8 เท่า และ ROE 9.1% ความเสี่ยงหลัก คือ คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ 
เป้าหมายทางการเงินปี 64 ตั้งเป้าเติบโตแรง
ในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา KBANK ได้ประกาศเป้าหมายทางการเงินประจำปี 64 ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 4-6% NIM 3.1-3.3% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ 44-46% การเติบโตของสินเชื่อคาดได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อรายย่อย (เติบโต 11-13%) ขณะที่สินเชื่อธุรกิจคาดเติบโตที่ 1-4% ธนาคารคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิจะเติบโตที่ 1-3% (เทียบกับที่เราคาดไว้ที่ -1%) หนุนโดยธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อที่เกี่ยวข้องและธุรกิจบริหารสินทรัพย์ในปี 2564 ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิหดตัว 4-10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา CEO ระบุว่าเป้าหมายทางการเงินทั้งหมดอิงการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ 2.6% ในปี 2564 และคาดว่า GDP ไทยจะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในปี 2566
NPL เอาอยู่ ด้วยต้นทุนสินเชื่อที่ต่ำกว่า
KBANK รายงานผลประกอบการที่เติบโตกว่าคาดในไตรมาส 4/63 CEO ระบุว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงนั้นไม่รุนแรงอย่างที่คาดไว้และคาดว่าต้นทุนเครดิตจะลดลงที่ 160bps เทียบกับ 205bps ในปี 63 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 59 อัตราส่วน NPL คาดเพิ่มขึ้นเป็น 4.0-4.5% ในปี 64 จาก 3.93% ในปี 63 เป้าหมายทางการเงินใหม่สอดคล้องกับมุมมองของเราที่มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงในปี 64 เราเชื่อว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพจะยังคงสามารถจัดการได้และเห็นผลกระทบที่จำกัดต่อระดับเงินทุน
คาดผลประกอบการเติบโต 8-11% ในปี 64-65
เราคงประมาณการณ์การเติบโตของกำไรที่ 8-11% ในปี 64-65 แต่คาดว่าตลาดจะปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ และธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวดีขึ้น  เราคาดการณ์อย่างระมัดระวังว่าต้นทุนเครดิตจะลดลง 30bp YoY เป็น 175bp ในปี 64 การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของเราพบว่าทุก ๆ 5bp ที่ลดลงในต้นทุนเครดิตจะเพิ่มประมาณการกำไรของเรา 2.6% ในปี 64
Jesada Techahusdin, CFA
[email protected]
(66) 2658 6300 ext 1395
PTT Global Chemical (PTTGC TB)
กำไรหลักไตรมาส 4/63 เติบโตแกร่ง
BUY 
Share Price           THB 59.00
12m Price Target      THB 75.00 (+27%)
Previous Price Target THB 75.00
คงคำแนะนำ ซื้อ – กำไรเติบโตต่อเนื่อง
ราคาหุ้น PTTGC ปรับตัวลง 1% YTD ตามดัชนี SET ในมุมมองของเรา PTTGC เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีของไทย จาก 1) D / E ต่ำ ที่ 0.35 เท่า 2) มีธุรกิจครบวงจร 3) เป็นเจ้าตลาดในไทยและภูมิภาค นอกเหนือจากภาพใหญ่ที่เน้นธีมเล่นรอบตามวัฎจักรซึ่งจะผลักดันให้เกิดการขยายตัวที่หลากหลาย PTTGC ยังเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น (Brent สูงกว่า 55 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล) จากความได้เปรียบในการเป็นวัตถุดิบก๊าซ แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับกำลังการผลิต PE จำนวนมากที่กลับมาออนไลน์ในปี 64 แต่สิ่งสำคัญคือสมดุลของอุปสงค์ / อุปทานจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากอุปสงค์คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง คงคำแนะนำ ซื้อ และ TP ที่ 75 บาท (P / B ปี 64 ที่ 1.2 เท่า ค่าเฉลี่ยในอดีต)
กำไรหลัก 4Q63 ดีขึ้นในทุกธุรกิจ
คาด NPAT 4Q63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 600% QoQ และ 54% YoY คาด EBITDA ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจ นำโดยโอเลฟินส์และ Performance Material (ฟีนอล) เพิ่มขึ้น 20-30% จากความต้องการเจลทำความสะอาดมือที่เพิ่มขึ้น ประมาณการค่าการกลั่น 4Q63 ที่ 1.8 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล (+0.6 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล QoQ) จากพรีเมียมน้ำมันดิบที่ลดลง (2.5 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล เทียบกับ 3.7 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล) อัตราการใช้กำลังการกลั่นของโรงกลั่นลดลงเหลือ 91% จาก 94% ในไตรมาส 3/2563 ความสามารถในการทำกำไรของอะโรเมติกส์พลิกกลับมาพร้อมกับอัตราการใช้กำลังการผลิต ที่ฟื้นตัวเป็น 100% จาก 91% (โรงงานปิด 19 วัน) และอัตรากำไรดีขึ้น 28 เหรียญสหรัฐ / ตันเป็น 100 เหรียญสหรัฐ / ตันจากสเปรดเบนซินที่เพิ่มขึ้น +128% QoQ อัตราการใช้กำลังผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นเป็น 110% จาก 104% และราคา PE เพิ่มขึ้น 11% QoQ จาก 1) ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 2) อุปทานที่ตึงตัวขึ้นจากการปิดโรงกลั่นในภูมิภาค 3) การฟื้นตัวของอุปสงค์ของจีน รายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ได้แก่ กำไรจากสต็อกและอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1 พันล้านบาทและ 1.3 พันล้านบาทและขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง 500 ล้านบาท 
โรงกลั่น + อะโรเมติกส์จะหนุนการเติบโตในปี 64
ราคา HDPE สูงสุดที่ 1,110 เหรียญสหรัฐ / ตันในช่วงต้นเดือนธันวาคมและลดลงเหลือ 1,035 เหรียญสหรัฐ / ตัน ระดับสินค้าคงคลังในจีนอยู่ที่เฉลี่ย 5 ปี IHS Markit ประเมินว่าดุลอุปสงค์ / อุปทาน PE จะปรับตัวดีขึ้น YoY แต่ยังคงขาดดุลอยู่ที่ 2 ล้านตัน (อุปทาน 7 ล้านตัน อุปสงค์ 5 ล้านตัน) การเติบโตในระยะต่อไปจะหนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นและอะโรเมติกส์ สเปรด PX น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามอุปสงค์ที่ฉุดจากอุปทาน PTA ใหม่ทั่วโลก 11.8 ล้านตันในปี 64 แนวโน้มเบนซีนดูดีต่ออุปสงค์ต่อเนื่องจากสไตรีนและฟีนอล (เจลทำความสะอาดมือ) ค่าการกลั่นน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในปี 64 ดีเซลและ LSFO คิดเป็น 67% และ 15% ของผลตอบแทนของ PTTGC สเปรด LSFO YTD พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากการปิดโรงไฟฟ้าในเกาหลีใต้ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้ามีความต้องการ LSFO เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ M&A - กลุ่มโพลีเมอร์มูลค่าสูง
การควบรวมกิจการของ PTTGC มุ่งเน้นไปที่กลุ่ม High Value Polymer ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับการเคลือบสีรถยนต์และอุตสาหกรรมการบิน ในปี 63 DynaChisso ถือหุ้น 45% (ผู้ผลิตเรซินคอมปาวด์ PP ที่ใช้ในยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์) PTTGC ยังอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการ Ohio petrochemical cracker หลังจากการถอนตัวของ บริษัท Daelim Industrial Co. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนชาวเกาหลีใต้ เราคาดว่าจะมีการประกาศ FID สำหรับแครกเกอร์ปิโตรเคมีของโอไฮโอในช่วงกลางปีนี้
Kaushal Ladha, CFA
[email protected]
(66) 2658 5000 ext 1392
Osotspa (OSP)
ยอดขาย 4Q63 ชะลอ แต่จะฟื้นในปี 64
BUY 
Share Price                      THB 35.75
12m Price Target           THB 45.00 (+26%)
Previous Price Target    THB 50.00
ประเด็นการลงทุน
แม้มีการปรับลดประมาณการกำไรลงตามยอดขายที่ชะลอตัว แต่คาดว่ากำไร 4Q63 ยังเติบโต 8% YoY จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้น และแนวโน้มปี 64 จะเติบโตดีขึ้นจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและขยายช่องทางการขาย รวมทั้งได้ผลบวกจากการเปิดโรงงานขวดแก้วที่เมียนมาร์ ขณะที่โปรแกรม Fit Fast Firm ยังช่วยให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์อาจกดดันราคาหุ้นในช่วงนี้ แนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง ราคาเป้าหมาย (DCF) 45 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 50 บาท) 
ปรับลดประมาณการ
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-2564 ลง 6% และ 7% ตามลำดับ จากยอดขายเครื่องดื่มชะลอตัวตามการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ลดลง และธุรกิจร้านสะดวกซื้อหดตัว ส่วนประเด็นการใช้กัญชงในเครื่องดื่มและเครื่องสำอาง OSP ยังอยู่ระหว่างศึกษา ยังไม่มีกำหนดระยะเวลาที่จะนำมาใช้ และไม่ได้รวมในประมาณการ
คาดกำไร 4Q63 เติบโต 8% YoY จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้น 
คาดว่ากำไร 4Q63 เท่ากับ 850 ล้านบาท ลดลง 8% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 8% YoY อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 26 bps YoY เป็น 35.3% จากโปรแกรม Fit Fast Firm ทั้งในด้านการปรับสูตรเครื่องดื่ม การบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้ลดลง และประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ยอดขายคาดว่าจะลดลงจากการที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังติดลบมากกว่า 3Q63 ที่ -6.7% ตามการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคและการระบาดของโควิดรอบใหม่ ขณะที่ตลาด Functional drink ที่เคยเติบโตต่อเนื่อง ก็ชะลอตัวลงจากฐานสูง อีกทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นช่องทางขายหลัก ได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากโครงการคนละครึ่ง เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากการที่ C-Vitt ขยายกำลังการผลิตเมื่อกลางปี 63 แต่ก็มีค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในช่วงขยายช่องทางขายไปยัง Traditional Trade เราคาดเงินปันผล 2H63 เท่ากับ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 2%
ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มช่องทางการขาย 
แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เราประเมินว่ากำไรปี 63 ยังเติบโตได้ 4% และเพิ่มขึ้น 13% ในปี 64 จากยอดขายที่ฟื้นตัวขึ้นตามการอุปโภคบริโภค และได้ประโยชน์จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2H63 รวมทั้งการทยอยขยายช่องทางการขายของ C-Vitt ไปยัง Traditional Trade ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 20% (อีก 80% ขายทาง Modern Trade) อัตรากำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก Fit Fast Firm ส่วนโรงงานใหม่ที่เริ่มผลิตเครื่องดื่มชูกำลังเองที่เมียนมาร์ (แทนการจ้างผลิต) ตั้งแต่ 2H63 จะช่วยให้อัตรากำไรสูงขึ้น นอกจากนั้น โรงงานผลิตขวดแก้วในเมียนมาร์คาดว่าจะเริ่มผลิตใน 2H64 
ความเสี่ยง: ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การเพิ่มภาษีเครื่องดื่ม เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ การขยายไปต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์
 
Suttatip Peerasub
[email protected]
(66) 2658 6300 ext 1430

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!