ปปช.ยื่นคลังฟ้องปูชดใช้ 3 แสนล้าน ล็อตแรกทำจำนำข้าวเจ๊ง จ่อฟันซ้ำอีก 3 แสนล้าน วันชัยย้ำแนวปรองดอง บิ๊กตู่ต้องคุยกับทักษิณ รธน.ให้สส.สังกัดพรรค ปล่อยชั่วคราว'กฤษณ์'
มติชนออนไลน์ : 'ป.ป.ช.'ร่อนหนังสือถึง ก.คลัง จี้เรียกค่าเสียหายจาก'ปู'ทำโครงการจำนำข้าวเจ๊งกว่า 3.2 แสนล. จ่อทวงเพิ่มอีก 3 แสนล. ปัดจ้องเล่นงานลั่นทำตาม กม. 'วันชัย'โพสต์เฟซบุ๊กปัดเปลี่ยนจุดยืน ย้ำ'บิ๊กตู่'ต้องเจรจา'แม้ว'ปรองดองถึงสำเร็จ
@ "บิ๊กตู่"ปัดไล่ล่า-ยันไม่คุย"แม้ว"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ย้ำว่าไม่สามารถเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามข้อเสนอของนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อสร้างความปรองดองได้ เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะยินดีเจรจาก็ตาม โดย พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่ไปปฏิบัติภารกิจที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ว่าพูดไปแล้วว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่สามารถไปพูดคุยได้ ส่วนที่นายวรชัย เหมะ
อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ระบุว่าเป็นฝ่ายถูกกดดันและไล่ล่านั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กดดันเรื่องอะไร ไล่ล่าอย่างไร เป็นเรื่องของคดีความไม่ใช่เรื่องการไล่ล่า ถ้ามีการร้องเรียนฟ้องร้องก็ดำเนินคดีไปเท่านั้นเอง จะไปไล่ล่าอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องกลับมาสู้คดีก่อนใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่พูดแล้ว ส่วนที่มีการนำมาผูกโยงกับการปรองดองนั้น ใครจะผูกก็ผูกไปตนไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าใจคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐไหม ว่าต้องทำตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม
"ผมเป็นนายกรัฐมนตรีต้องบริหารราชการแผ่นดิน มีเรื่องที่เป็นห่วงกังวลมากมาย ทั้งรายได้เกษตรกรที่ไม่ค่อยดี ผมยังต้องบริหารราชการแผ่นดินและแก้ปัญหาที่ทุกคนได้ทำกันไว้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ ถามทำไมต้องปรองดอง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า "ทำไมต้องไปปรองดองกับใคร ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ผมเข้ามาทำหน้าที่ของผม เข้ามาควบคุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินมาแก้ปัญหาที่บกพร่องอยู่โดยใช้กลไกของกฎหมายกระบวนการยุติธรรม แล้วทำไมผมต้องปรองดองกับใคร การปรองดองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกกลุ่มอยู่แล้ว คนไทยอยากจะขัดแย้งกันต่อไปหรือ"
"ผมคิดว่าวันนี้บ้านเมืองก็สงบดี ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องการกระทำผิดกฎหมาย ก็รู้อยู่ว่ามีกฎหมายอะไรบ้าง แต่พยายามที่จะละเมิดขัดขวางให้เกิดปัญหา ควรต้องไปถามคนเหล่านั้นว่าทำเพื่ออะไร ถามว่าทำเพื่อประชาธิปไตยแล้ววันนี้ประชาธิปไตยที่ผ่านมาดีหรือไม่ ถ้าดีก็คงไม่มีเรื่อง ผมก็ไม่เข้ามา
ดังนั้น แสดงว่ายังมีปัญหาอยู่ ผมต้องใช้กลไกระเบียบราชการ กลไกของกฎหมายเข้าไปแก้ไขก็เท่านั้น ฉะนั้น อย่าไปกังวล ใครจะเสนออะไรก็ได้ อยากจะพูดอะไรก็พูดมา แต่อย่าทำให้เกิดความขัดแย้ง เกิดความวุ่นวาย และอย่าลากผมไปเกี่ยวข้อง" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ ย้ำต้องเดินตามโรดแมป
ผู้สื่อขาวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้โรดแมปที่วางไว้ต้องเลื่อนออกไปหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "โรดแมปเป็นเรื่องของผม ใครจะทำให้มันเลื่อนก็ทำไป แต่ผมต้องเดินตามโรดแมป ซึ่งคิดว่าคนส่วนใหญ่ต้องการให้ผมดูแลช่วยเหลือและแก้ปัญหา สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ที่ทุกคนเอาไปกล่าวอ้างกันไปมา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นล่วงหน้ามาหลายปีแล้วก่อนที่จะเข้ามาอีก ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว แต่เมื่อสถานการณ์มันไปไม่ได้ จำเป็นต้องเข้าไปแก้ไข เพราะเป็นห่วงประเทศชาติ ถ้าไม่เข้ามาคนอื่นก็มาว่าผมปล่อยให้ประเทศเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เมื่อเข้ามาก็มาต่อว่ากันอีก ถ้าทุกคนเข้าใจว่าเราต้องการความปรองดองสงบสันติก็อย่าไปขยายความ ขยายข่าว"
@ ใช้กม.แก้ปัญหา-ไม่ผิดก็หลุด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าหากพูดถึงการใช้อำนาจอย่างแท้จริง ตนคงไม่ต้องให้ใครพูดอะไรทั้งสิ้น ซึ่งทำได้อยู่แล้ว แต่ไม่อยากจะทำ ไม่อยากใช้กฎหมายพิเศษเข้าแก้ปัญหา เพราะจะหาว่าไปรังแกใครอีก สรุปว่าเราใช้กฎหมายกระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไป ต้องพยายามทำตัวให้ชัดเจนว่าจะอยู่ตรงไหน ความหมายคือให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นบ้างและได้ชี้แจงต่อกระบวนการยุติธรรม ถ้าใครไม่เข้ากระบวนการยุติธรรม แล้วจะไปคุยกันรู้เรื่องไหม แล้วอย่าไปให้เครดิตมากนัก
"ฉะนั้น ที่พูดมาผมคิดว่าทุกคนมีเจตนาดี
ไม่ได้มีเจตนาร้าย และไม่ได้จงเกลียดจงชังรัฐบาล แต่ทุกคนมุ่งหวังจะแก้ไขปัญหาของตนเองหรือภาพรวม โดยไม่ได้นึกถึงกลไกของรัฐ ไม่นึกถึงกฎหมายมันก็ไม่ได้ เพราะประเทศชาติอยู่ด้วยกฎหมาย ถ้าบอกว่ากฎหมายไปทำร้าย ไล่ล่า ถามว่าที่ทำมีความผิดไหม ซึ่งการกระทำความผิดเริ่มตั้งแต่การร้องทุกข์กล่าวโทษหรือนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการเมื่อรับเรื่องก็ต้องสอบสวนไป ไปไล่ตรงไหน ถ้าไม่มีความผิดจะร้องเรียนอย่างไรก็หลุด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ ฮึ่มใครทำเสียหายต้องรับผิดชอบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการร้องเรียนไปหลายคดี บางคดีก็ตัดสินว่าไม่รับฟ้อง ไม่มีความผิดแล้วทำไมไม่เห็นมีใครมาเรียกร้อง สรุปว่าอะไรที่ตัดสินเข้าข้างตัวเองแล้วดีถือว่าเป็นธรรม อะไรที่ตัดสินแล้วมีความผิดต้องไปแก้คดีก็กลายเป็นว่าไม่เป็นธรรม เป็นการไล่ล่าหรือ คิดว่ามันไม่ถูกต้อง อย่าคิดแบบนี้ สื่อต้องอย่าไปขยายความในลักษณะแบบนี้ อยากให้ลดความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ โดยให้กฎหมายว่าไป ผิดก็คือผิด ถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีหลักฐาน ไม่ผิด จะลงโทษได้อย่างไร แม้กระทั่งคดีเก่าๆ มีหลักฐานผิดกฎหมายก็ต้องถูกลงโทษ เมื่อลงโทษก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะมีอะไรนอกเหนือไปจากนี้ ตนไม่เข้าใจ อย่ามาลากพันกันไปมา เดี๋ยวจะเดือดร้อนไปทั้งประเทศแล้วใครจะรับผิดชอบ ตนขอถามใครที่มาร้องๆ กัน จะรับผิดชอบได้ไหม
"ขอประกาศไว้เลยว่าใครที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายเดือดร้อนจากนี้ไปต้องรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยรับผิดชอบกันอยู่แล้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ตามระเบียบวินัย ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกคนทุกพวกทุกพรรค เจตนาดีหรือไม่ก็ไปพิสูจน์กันในศาล ผมตัดสินให้ไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
@ บิ๊กป้อมย้ำ"แม้ว"มาสู้คดีก่อน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณยื่นข้อเสนอในการพูดคุยปรองดอง อาทิ ต้องเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง ว่ายังไม่ทราบรายละเอียด ซึ่งเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะประเทศมีกฎหมาย ดังนั้น ต้องทำตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
"ที่มองว่าหากไม่คุยแล้วจะปรองดองกันไม่ได้นั้น นายกฯพูดแล้วว่าเรื่องคุยกับเรื่องปรองดองเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องคดีและเรื่องปรองดองต้องแยกออกจากกัน จะนำมารวมกันได้อย่างไร ทั้งนี้ ทางเราอยากให้มีความปรองดองและต้องทำทุกอย่างให้เกิดความปรองดองในชาติ" พล.อ.ประวิตรกล่าว
@ บิ๊กโด่งแนะสปช.เดินตามกรอบ
ด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงข้อเสนอของ สปช. ให้ พล.อ.ประยุทธ์เจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อสร้างความปรองดองว่า นายกรัฐมนตรีตอบชัดเจนไปแล้ว ตนคงไม่ก้าวล่วง เป็นเรื่องการเสนอความคิดที่ไปพาดพิงถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และนายกรัฐมนตรีก็ได้ชี้แจงแล้ว อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของรัฐบาลและ คสช.เป็นไปตามกรอบที่กำหนดไว้ คือการจัดตั้ง สปช.ขึ้นมา เพื่อให้ปรับสิ่งต่างๆ ที่ควรจะปรับในสังคม แนวความคิดต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมามีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดความคิดแตกต่าง และไม่เข้าใจจนทำให้เกิดความปรองดองน้อยลง รัฐบาลปรับในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ จะทำให้ทุกอย่างเดินหน้านี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้วางไว้ ก็คือให้มี สปช.เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ ดังนั้น จึงต้องช่วยกันเข้ามาอยู่ในกรอบ อย่าทำอะไรนอกกรอบ เพราะจะกลายเป็นการต่อต้าน ขอให้เดินตามกระบวนการ
@ "วันชัย"ย้ำ"บิ๊กตู่-แม้ว"ต้องคุย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงถึงการเสนอแนวทางปรองดองที่ได้เสนอแนะให้
พล.อ.ประยุทธ์นัดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นการปรองดอง แต่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธข้อเสนอ โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีคดีอยู่ ไม่สามารถพบได้ว่ามีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิติเตียน ด่าทอสารพัดว่า ตนคิดผิดไปหรือเปล่า กินยาผิดซอง มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่า รวมทั้งเปลี่ยนไปละมั้ง บ้างก็ให้กำลังใจ ให้ความเห็น เรียกว่ามีทั้งก้อนอิฐและดอกไม้ อยากจะบอกว่าการให้สัมภาษณ์กับสื่อเป็นการอธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องปรองดอง ถ้าฟังตั้งแต่ต้นจนจบโดยละเอียดจะเข้าใจถึงเนื้อหาที่พูด และคงไม่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์กันแบบผิดๆ ถูกๆ หรือด่ากันเสียๆ หายๆ
นายวันชัยระบุว่า ความจริงจะเฉยๆ เสียก็ได้ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดและไม่ได้คิดผิด พูดผิด แต่มาจากเนื้อแท้ น้ำใสใจจริง ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ แต่ถ้าขืนเงียบหรือเฉยๆ คนจะเอาไปต่อความยาวสาวความยืดให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ จึงขอชี้แจงต่อผู้ที่เคารพ
ทั้งหลาย ดังนี้ 1.จุดยืนและแนวทางการทำงานยังเหมือนเดิมทุกประการและจะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ไม่ผิดคิว ไม่ผิดซอง 2.บ้านเมืองที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง สับสนอลหม่าน เพราะการที่คนในประเทศไม่รักกัน ไม่ปรองดองกัน ไม่สมานฉันท์ มุ่งแต่จะห้ำหั่นเอาแพ้เอาชนะกัน 3.จะปฏิรูปประเทศให้เลิศหรูอลังการอย่างไร จะแก้กฎหมาย จะร่างรัฐธรรมนูญให้วิเศษวิโสอย่างไร จะแก้ปัญหาของประเทศไทยให้ยิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ประเทศเดินไปได้ ถ้าคน
ในชาติไม่รัก ไม่ปรองดองกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาก็ล่มสลายไปหมด อย่างที่พูดๆ กัน คือเลือกตั้งแล้วก็คงกลับมาเหมือนเดิม
@ ชี้"บิ๊กตู่"มีพลังในการเจรจา
นายวันชัยระบุต่อว่า 4.การปรองดอง การสมานฉันท์ ไม่ใช่แค่หยุดการทะเลาะเบาะแว้งไว้แค่นั้นแล้วก็จบ ไม่ใช่แค่การเอาตำรวจ ทหาร ไปร้องรำทำเพลงให้ชาวบ้านดูแล้วก็คิดว่านั่นเป็นการปรองดอง หรือการไปทำโน่นทำนี่ในหมู่บ้าน ตำบล แล้วนึกว่านี่คือการทำให้คนรักกันได้แล้ว ที่จริงยังไม่ใช่ 5.คนที่ทะเลาะกัน คนที่แตกแยกกัน คนที่ไม่ปรองดองกัน คนที่ไม่สมานฉันท์กัน ก็คือคนมีอำนาจ คนการเมือง แกนนำทางการเมือง กลุ่มนำทางการเมือง คนพวกนี้ทะเลาะกัน แย่งอำนาจกัน แตกแยกกันแล้วก็ชวนชาวบ้านมาทะเลาะให้แตกแยกเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน พวกตน พวกนี้คือตัวแห่งความขัดแย้ง ตัวแห่งความแตกแยก ชาวบ้านโดยปกติไม่อยากทะเลาะไม่อยากแตกแยกกัน แต่โดนปลุก โดนยุจากตัวการเมืองเหล่านี้
"6.การจะยุติความขัดแย้ง แตกแยก สร้างความปรองดองได้ จะต้องเริ่มด้วยการพูดคุยเจรจา ทำความเข้าใจกับกลุ่มคู่ขัดแย้งตัวหลักตัวสำคัญ ต้องมุ่งมั่น ทุ่มเท ต้องจริงจัง ต้องใช้เวลาอย่างเต็มที่ ต้องไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุผล และคนที่มีอำนาจ มีพลังที่สุดในการเจรจาคือผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ในขณะนี้ เป็นผู้ใหญ่ในขณะนี้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากนั้นไม่มีน้ำหนัก ไม่มีพลัง เพราะคนนี้พูดแล้วทำได้ ตัดสินใจได้" นายวันชัยระบุ
@ ยันต้องคุยกับ"ทักษิณ"
นายวันชัยกล่าวต่อว่า 7.การเจรจาต้องเจรจากับแกนนำที่เป็นคู่ขัดแย้งทั้งหมดในประเทศ พรรคการเมืองทุกพรรค แกนนำผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง บุคคลผู้นำทางการเมือง แม้กับ พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นตัวหลัก เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองที่สำคัญก็ต้องคุย ส่วนวิธีการคุย จะคุยแบบไหน อย่างไร จะต่อหน้าลับหลังกับใคร อย่างไรบ้าง เป็นเรื่องของผู้นำและเป็นศิลปะที่จะพูดคุย 8.เมื่อคุยทุกกลุ่มทุกฝ่ายแล้วก็นำมาบอกกล่าวเล่าให้ประชาชนฟังว่าอะไรทำได้ และทำทันที เป็นการแสดงความจริงใจ ความตั้งใจและเริ่มต้นของการปรองดอง ไม่ทำในยุคนี้ ใครจะมีพลังมีอำนาจเท่าชุดนี้ ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เสียโอกาส เสียเวลาและเสียของ
"9.ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นและข้อเสนอส่วนตัวที่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเป็นไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ด้วยความจริงใจที่ต้องการให้ประเทศนี้มีความรัก ความสามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ อย่าเพียงหยิบคำพูดบางวรรค บางตอน บางส่วนมาปะติดปะต่อหรือตัดแปะแล้วใส่สีตีไข่ ใส่ร้ายป้ายสี ขอร้องอย่าทำเลยครับ" นายวันชัยระบุ
@ พท.แจง"แม้ว"ไม่รู้เรื่องปรองดอง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณยื่นข้อเสนอปรองดองว่าจากการตรวจสอบข้อมูลกับบุคคลใกล้ชิด
พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย และไม่รู้ว่ามีข่าวนี้ออกมาได้อย่างไร ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงใช้ชีวิตเงียบๆ เรียบง่าย อย่างคนปกติทั่วไป
@ สมชายเชียร์ตั้งกก.ปรองดองฯ
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ เสนอตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งว่า ถือเป็นข้อเสนอที่ดี และเห็นด้วยเพราะเป็นเรื่องดี เพราะบ้านเมืองเกิดความขัดแย้งมานานหลายปีแล้ว ส่วนจะใช้วิธีการหรือรูปแบบใด
ขอให้ผู้มีอำนาจช่วยกันคิด ช่วยกันทำยึดประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ที่สำคัญต้องมีความจริงใจและตั้งใจที่จะปรองดองอย่างแท้จริง ทั้งนี้ การปรองดองต้องพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์มาเริ่มพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณก่อนตามข้อเสนอของ สปช. มองว่าหากเริ่มต้นพูดกันแค่เพียงฝ่ายเดียวจะไม่สะเด็ดน้ำ
"ผมมองว่าถ้าผู้มีอำนาจตั้งใจ ความปรองดองคงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก รัฐบาลต้องเป็นผู้ที่อยู่ตรงกลาง ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้ตกผลึก ส่วนข้อเสนอเรื่องนิรโทษกรรมนั้น มองว่าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการปรองดอง ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าประชาชนที่ได้รับโทษ บางส่วนติดคุกเพราะมีข้อหามาจากเรื่องของการเมือง หากจะปรองดองกันควรต้องทำใจและยอมรับในเรื่องนี้ด้วย" นายสมชายกล่าว
@ กมธ.ยกร่างฯปัดทำลายระบบพรรค
นายสุจิต บุญบงการ รองประธาน กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะอนุ กมธ.พิจารณากรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญ คณะที่ 3 ระบบผู้แทนที่ดีและผู้นำการเมืองที่ดี รัฐสภา และคณะรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลักการเกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญไม่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ ตามที่ตัวแทนพรรคการเมืองแสดงความเห็นในเวทีสัมมนาเรื่องหลักการใหม่เกี่ยวกับระบอบการเมือง นักการเมืองและสถาบันการเมือง เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในรายละเอียดเชิงลึกจะมีประเด็นการพัฒนาพรรคการเมือง เพื่อสร้างระบบพรรคการเมืองที่ดี ผู้แทนการเมืองที่ดีที่ต้องมีกระบวนการพัฒนาด้วยตัวของพรรคการเมืองและภาคประชาชน ส่วนกรณีที่ กมธ.ยกร่างฯปรับหลักการเกี่ยวกับการนับคะแนนเพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ส.นั้น เหตุผลสำคัญเพื่อกำจัดการผูกขาดรัฐสภาโดยเสียงข้างมาก หรือที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา
นายสุจิตกล่าวว่า สำหรับร่างรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการเมืองยอมรับว่ามีการปรับเนื้อหาใหม่ เช่น กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสังกัดพรรคการเมืองจากเดิมที่กำหนดให้ลงสมัครได้โดยอิสระเท่านั้น ทั้งนี้ มีเหตุผลสำคัญเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับผลการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาจำนวน ส.ส.ในสภา นอกจากนั้นเมื่อกำหนดให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบรายภาค 6 ภาค หากไม่ได้กำหนดให้สังกัดพรรคอาจมีความลักลั่นต่อการได้มาซึ่ง ส.ส.ได้
@ ชี้ส.ส.ไร้สังกัดป้องกันศรีธนญชัย
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ที่ปรึกษาและโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เหตุผลที่ปรับให้ผู้สมัคร ส.ส.สังกัดพรรคการเมือง และไม่ให้ ส.ส.แบบพรรคการเมืองควบรวมกับ ส.ส.แบบกลุ่มการเมืองนั้น เพื่อป้องกันนักการเมืองจำพวกที่เรียกว่าศรีธนญชัย หาช่องให้ได้ ส.ส.โดยไม่เป็นไปตามหลักการ
"ยอมรับว่าเป็นไปตามข้อสังเกตของคณะ กมธ.ปฏิรูปการเมือง สปช. ที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ สปช. เป็นประธาน กมธ. ที่ระบุว่า มีช่องทางที่ทำให้บางพรรคการเมืองมีแนวทางส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นนอมินีพรรคการเมืองลงสมัครแบบอิสระในเขตเลือกตั้งและส่งนักการเมืองสังกัดพรรคลงแบบเขต จากนั้นหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จจะนำ ส.ส.ที่ได้มารวมกัน จึงถือเป็นการอุดช่องว่างดังกล่าว" พล.อ.เลิศรัตน์กล่าว และว่า ขณะที่การแบ่งการเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเป็น 6 ภาค จากเดิมที่กำหนดให้มีบัญชี 8 ภาค เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเลือกผู้แทนที่ตนเองรู้จัก ขณะที่บัญชีรายชื่อ กลุ่มภาคใต้ซึ่งรวม จ.เพชรบุรีเข้าไปด้วยนั้น มีหลักเกณฑ์คือเพื่อให้สัดส่วนประชากรที่เท่ากันในบัญชีรายภาค
@ กมธ.ยกร่างฯผ่านอีก4หมวด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้พิจารณาร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญต่อใน ภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ส่วนที่ 9 การปฏิรูปด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมาตรา (4/1/9) 1 ส่วนที่ 10 การปฏิรูปด้านพลังงาน มาตรา (4/1/10) 1 มีสาระสำคัญคือ ให้ปิโตรเลียมและเชื้อเพลงธรรมชาติอื่นเป็นทรัพยากรธรรมชาติ และมีไว้เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง ดำเนินการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ปรับปรุงให้การสำรวจ การผลิต และการใช้ปิโตรเลียม ส่วนที่ 11 การปฏิรูปด้านแรงงาน มาตรา (4/1/11) 1 มีสาระสำคัญคือ ตรากฎหมายและกำหนดกลไกเพื่อรองรับเสรีภาพของผู้ใช้งานการสมาคม การรวมตัวกัน และการเจรจาต่อรอง ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ และสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารแรงงานเพื่อเป็นกองทุนการเงินของผู้ใช้แรงงานในกรส่งเสริมการออมและพัฒนาตนเอง ส่วนที่ 12 การปฏิรูปด้านวัฒนธรรม (4/1/12) 1 มีสาระสำคัญคือ สนับสนุนให้มีสมัชชาศิลปวัฒนธรรมระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ซึ่งมาจากประชาสังคม ตามความพร้อมในแต่ละพื้นที่ เพื่อปกป้อง ฟื้นฟู สืบสานและพัฒนา งานด้านศิลปวัฒนธรรม
จากนั้น เวลา 17.30 น. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สั่งปิดประชุมและนัดประชุมอีกครั้ง วันที่ 18 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น.
@ ป.ป.ช.ร่อนจ.ม.ถึงคลัง18ก.พ.
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงมติที่ประชุม ป.ป.ช.ในกรณีการส่งหนังสือถึงกระทรวงการคลังให้ประเมินความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ในคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าที่ประชุม ป.ป.ช.ในวันเดียวกันนี้ มีมติให้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังเพื่อแจ้งให้พิจารณาความเสียหายในคดีอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดในคดีอาญาไปเรียบร้อยแล้ว ฐานละเว้นก่อให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โดยตามกฎหมาย 73/1 วรรคท้าย ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ให้ ป.ป.ช.ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการคลัง ที่เป็นหน่วยงานรับค้ำประกันเงินงบประมาณในโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว ดังนั้น เมื่อเกิดความ
เสียหายขึ้น กระทรวงการคลังต้องไปดำเนินการเรียกร้องความเสียหายนั้นคืนกลับมา
นายปานเทพกล่าวว่า ส่วนฐานของความเสียหาย ป.ป.ช.จะส่งสำนวนที่ชี้มูลความผิด โดยในสำนวนดังกล่าวมีการระบุถึงฐานความเสียหายของการปิดบัญชี ตั้งแต่ครั้งที่ 3 ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท แต่ขณะเดียวกันก็ยังปิดบัญชีโดยกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่าสูงถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังมีตัวเลขละเอียดทั้งหมดอยู่แล้ว อาทิ ตัวเลขของการลงไปตรวจสอบข้าวเสื่อมคุณภาพ ตรงนี้จะรวมไปทั้งหมด ทั้งนี้ จะได้ลงนามหนังสือในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ก่อนจะส่งไปถึงกระทรวงการคลัง และส่งสำนวนการไต่สวนไปพร้อมกันด้วย
@ จี้เรียกค่าเสียหายจาก"ปู"3แสนล.
"เป็นการแจ้งไปตามคดีอาญา คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียว จากนั้นกระทรวงการคลังจะได้พิจารณาว่ามีบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องร่วมอีกหรือไม่ จะได้พิจารณาเพิ่มเติมอีก ส่วนตัวเลขความเสียหายกระทรวงการคลังประเมิน ต้องไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท เป็นไปตามสำนวนการไต่สวนที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดไป" นายปานเทพกล่าว และว่า การเรียกร้องความเสียหายกรณีไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งตัวเลขในกรณีนี้ยึดในการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวครั้งที่ 3 เป็นหลักคือประมาณ 3.2 แสนล้านบาท แต่ในการปิดบัญชีฯครั้งล่าสุดนั้นตัวเลขสูงถึง 6 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังต้องไปดูในส่วนการตรวจสอบคุณภาพข้าวในโกดังที่มี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการตรวจสอบคุณภาพข้าวอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกระทรวงการคลังไม่ประเมินความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวและฟ้องแพ่งต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะทำได้หรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องทำ เพราะกฎหมายระบุว่า ให้ ป.ป.ช.ส่งรายงานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเกิดความเสียหาย ซึ่งหมายถึงกระทรวงการคลัง ดังนั้น กระทรวงการคลังในฐานะผู้ค้ำประกันโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด ถือเป็นผู้เสียหายโดยตรง จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายที่ระบุไว้
@ ปัดจ้องเล่นงาน-ยันทำตามกม.
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่จะถูกวิจารณ์ว่าจ้องเล่นงานนักการเมืองบางฝ่าย นายปานเทพกล่าวว่า ที่ประชุมก็มีการพูดกันแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อกฎหมายระบุเช่นนั้น ตามมาตรา 73/1 วรรคท้ายของพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. เมื่อชี้มูลความผิดคดีอาญาไปแล้ว หากมีความเสียหาย ต้องแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงเพื่อฟ้องร้องต่อไป
"ขอยืนยันว่าเป็นไปตามกฎหมาย หากยังมีผู้ไม่เข้าใจ คงต้องชี้แจงกันจนกว่าจะเข้าใจ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนน่าจะเข้าใจ อย่างไรก็ตาม กฎหมายไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่จะให้กระทรวงการคลังดำเนินการประเมิน แต่ทางกระทรวงการคลังได้เตรียมเรื่องเอาไว้แล้ว คงสามารถดำเนินการได้ทันที" นายปานเทพกล่าว
@ "บุญทรง"โดนเรียกค่าเสียหายด้วย
นายปานเทพกล่าวถึงกรณีการเรียกร้องค่าเสียหายในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในคดีอาญาของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกรวม 21 ราย ว่าส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณาประเมินความเสียหายเรียบร้อยแล้ว เป็นไปตามฐานความผิดในคดีอาญา ส่วนเอกชนกว่า 100 ราย ที่ยังไม่ได้ชี้มูลความผิดในกรณีนี้นั้น ไม่ได้ส่งให้กับกระทรงการคลังเรียกร้องความเสียหายด้วย เพราะเป็นการทำสำนวนแยกกัน
เมื่อถามว่า ตัวเลขคดีระบายข้าวจีทูจีประเมินจากส่วนไหน นายปานเทพกล่าวว่า ประเมินจากคดีระบายข้าวอย่างเดียว ซึ่งเป็นความเสียหายกรณีซื้อแพงขายถูก ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการคิดค่าเสียหาย เป็นคนละส่วนกับของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ดูภาพรวมทั้งหมด
@ ทนายยัน"ปู"พร้อมสู้คดีข้าว
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้รับผิดชอบคดีรับจำนำข้าว กล่าวถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องไปรายงานต่ออัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อนำตัวไปส่งฟ้องคดีรับจำนำข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ว่าตามหลักกฎหมายแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศาลฎีกาฯ เนื่องจากเป็นเพียงวันนำตัวไปส่งฟ้อง กฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องเดินทางไปรายงานตัว อย่างไรก็ตาม ต้องรอการตัดสินใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์อีกครั้ง ทีมทนายความจะสรุปข้อเท็จจริงต่างๆ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทราบอีกครั้ง
"หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เดินทางไปรายงานตัวในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ไม่มีผลเสียต่อรูปคดี เพราะข้อกฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าต้องไป แต่หากหลังจากที่ศาลฎีกาฯรับฟ้อง และนัดให้ไปขึ้นศาลนัดแรก จำเป็นต้องเดินทางไป ถ้าไม่ไปอาจมีผลเสียได้" นายนรวิชญ์กล่าว และว่า ขอยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พร้อมจะต่อสู้คดีแน่นอน ไม่คิดหลบหนี หรือขอลี้ภัยแต่อย่างใด
@ พท.ซัดปปช.ใจร้อนเกินเหตุ
นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องดูในข้อกฎหมายว่าสามารถมอบหมายให้ทีมทนายไปแทนได้หรือไม่ หากได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ต้องเดินทางไป วันที่สืบพยานนัดแรกนั้นควรจะเดินทางไปด้วยตัวเอง ส่วนที่นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ไปบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะหลบหนี จะลี้ภัย มีการเช่าเครื่องบินเหมาลำรอไว้แล้วถึง 2 ลำ เป็นการมโนเกินเหตุ โตแล้วไม่ควรพูดจาแบบเด็กๆ การพูดอย่างนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน ทั้งที่ฝ่ายเพื่อไทยไม่ได้พูดอะไรเลย
นายสมคิดกล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.เตรียมชงกระทรวงการคลังเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวกว่า 6 แสนล้านบาทว่า ป.ป.ช.ใจร้อนไปหน่อย ฟ้องตอนไหนก็ได้ ความวัวยังไม่ทันหายเลย คดียังไม่มีการสรุปตัวเลขที่แท้จริงว่าเสียหายเท่าใด แต่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายไปแล้ว ตัวเลข 6 แสนล้านบาท เอาสำนึกง่ายๆ อะไรจะเสียหายขนาดนั้น ตัวเลขนี้ยังไม่รู้จริงไม่จริง ไม่เห็นด้วย ถือว่า ป.ป.ช.รีบเล่นไปหน่อย ทั้งที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาออกมาเลย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในชุดสีแดงฉากหลังเป็นคำอวยพร ตัวอักษรสีแดงในเทศกาลตรุษจีนว่า ซินเหนียนไคว่เล่อ กงสี่ฟาไฉ สุขสันต์วันตรุษจีน ขอให้ร่ำรวย
@ ศาลทหารให้ประกัน'กฤษณ์'
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ศาลทหารกรุงเทพ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความศูนย์นักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) หรือทนายกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวนายกฤษณ์ บุดดีจีน ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน เผยแพร่แถลงการณ์ปลอม นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด 400,000 บาท พร้อมยื่นคำร้องต่อศาลทหาร โดยศาลทหารมีคำสั่งว่าพนักงานสอบสวนไม่อยู่ที่ศาลในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับนี้ และติดต่อพนักงานสอบสวนไม่ได้ จึงให้งดถาม และพนักงานสอบสวนเคยแถลงไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาไว้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่10 กุมภาพันธ์ ซึ่งนำประกอบการพิจารณาแล้ว
นายวิญญัติกล่าวว่า ศาลท่านพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี และคำร้องขอปล่อยชั่วคราวแล้ว เมื่อพนักงานสอบสวนไม่คัดค้านและหลักประกันที่ผู้ขอประกันยื่นต่อศาลน่าเชื่อถือ จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคหลักประกัน 400,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อทางศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวแล้ว ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำจะนำนายกฤษณ์กลับไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อรอหนังสือปล่อยตัวที่ทางศาลทหารจะนำมายื่นแล้วจึงสามารถปล่อยตัวนายกฤษณ์ได้