WORLD7

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี แต่เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเติบโตต่ำ ฉุด GDP ทั้งปี 2566 และปี 2567

LINE it!
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี แต่เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเติบโตต่ำ ฉุด GDP ทั้งปี 2566 และปี 2567
0 Share

 

บทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและการเงิน (ฉบับวันที่ 20 ก.พ. 67): แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี แต่เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเติบโตต่ำ ฉุด GDP ทั้งปี 2566 และปี 2567

 

          เศรษฐกิจโลก

          การกลับทิศนโยบายการเงินของสหรัฐและญี่ปุ่นมีโอกาสล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ ขณะที่จีนเผชิญความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้ามากขึ้น

          สหรัฐ

          เงินเฟ้อที่ลดลงช้ากว่าคาดและภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังแข็งแกร่ง อาจส่งผลให้การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดล่าช้า ในเดือนมกราคม ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยสู่ 3.1% YoY แต่สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.9% ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้น 3.9% YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ 3.7% เช่นเดียวกับดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไปที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด แม้ว่ายอดค้าปลีกจะชะลอตัวลงแรง 0.65% YoY และ -0.8% MoM ในเดือนมกราคม แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพอากาศที่แย่ลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยชั่วคราว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 79.6 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าขึ้นสู่ระดับ 3.0% จากเดิมที่ 2.9%

          แม้ว่าผลจากการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดจะเริ่มส่งผ่านผลกระทบมาสู่เศรษฐกิจจริงมากขึ้น แต่ตัวเลขเงินเฟ้อส่งสัญญาณชะลอตัวช้ากว่าคาดภายใต้การเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจาก (i) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 (ii) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยรายชั่วโมงเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 11 เดือน และ (iii) ดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวมากสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งสนับสนุนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจแบบ soft-landing ในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ประเด็นความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐในช่วงปลายปีจะยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐต่อเนื่อง ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ก่อนเริ่มปรับลดในช่วงกลางปีนี้ 

 

2708 Krungsri Research us cpi

 

          ญี่ปุ่น

          แม้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยในไตรมาส 4/2566 แต่การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานคาดหนุนให้ BOJ สามารถยกเลิกนโยบายดอกเบี้ยติดลบได้ในช่วงกลางปีนี้ ในไตรมาส 4/2566 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) หดตัว -0.4% YoY และ -0.1% QoQ จากไตรมาสก่อนหน้าที่ -3.3% และ -0.8% ตามลำดับ ส่งผลให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (technical recession) จากแรงกดดันของการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัว -0.2% QoQ และการใช้จ่ายของภาคธุรกิจที่หดตัวลง -0.1%

          อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยในเชิงเทคนิคจากการบริโภคภายในประเทศที่หดตัวต่อเนื่องผ่านแรงกดดันของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและค่าจ้างแรงงานที่โตในอัตราที่ช้ากว่า รวมถึงการใช้จ่ายของภาคธุรกิจที่ชะลอตัว แม้ภาคส่งออกและการท่องเที่ยวในไตรมาส 4/2566 จะฟื้นตัวดีก็ตาม ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจากแนวโน้มค่าจ้างแรงงานที่มีโอกาสปรับขึ้นอย่างน้อย 3% หลังการเจรจาแรงงาน (Shunto) ช่วงฤดูใบไม้ผลิคาดว่าจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและหนุนให้เกิดการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศและหนุนให้อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง ซึ่งจะเปิดทางให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) สามารถพิจารณายกเลิกการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ (Ultra-loose policy) หรือยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบได้ในช่วงกลางปีนี้

 

2708 Krungsri Research japan gdp

 

          จีน

          การส่งเสริม 3 อุตสาหกรรมใหม่ของจีนเพิ่มแรงกดดันต่อประเทศคู่แข่ง และอาจทำให้ความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงขึ้น จีนยังคงสนับสนุนการพัฒนา 3 อุตสาหกรรมใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทศวรรษข้างหน้า โดยเฉพาะ ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกรวมกัน 147.3 พันล้านดอลลาร์ หรือขยายตัวราว 30% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม หลายประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรป เริ่มแสดงท่าทีกังวลถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน โดยในปี 2556 ประเทศในยูโรโซนขาดดุลการค้ากับจีนมากถึง 235 พันล้านดอลลาร์ ส่วนในปีนี้คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่าจะมีข้อสรุปต่อการอุดหนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและแผงโซลาร์เซลล์ของจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งภาษีขาเข้าเพื่อลงโทษ (Punitive Tariff) ในอัตราที่สูง

          ในขณะที่ฝั่งสหรัฐยังคงพยายามสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐขยายมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี โดยเพิ่มประเภทเครื่องจักรผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ที่อยู่ในการควบคุม รวมถึงปรับปรุงเกณฑ์ด้านประสิทธิภาพที่ใช้พิจารณาควบคุมการส่งออกเครื่องจักร นอกจากนี้ การกีดกันทางการค้ากับจีนยังคงเป็นประเด็นสำคัญในช่วงการเลือกตั้งของสหรัฐซึ่งจะมีขึ้นในปลายปีนี้ โดยเฉพาะนโยบายตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนสูงถึง 60% ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนการนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงอย่างมากจาก 14% ในปี 2566 จนเกือบเข้าใกล้ศูนย์ภายในปี 2573 โดยอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากคือ เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

          การส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่มีแนวโน้มช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนได้บ้างในช่วงที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการค้ามีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยในระยะสั้นหากสหภาพยุโรปตั้งภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนสูงขึ้น จีนมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการตอบโต้กลับในลักษณะเดียวกัน ส่วนในระยะยาวการลดการพึ่งพาจีนของชาติตะวันตกและสหรัฐในอุตสาหกรรมสำคัญ (de-risking) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานการผลิตชิปเซ็ตและแบตเตอรี่ในช่วงต้นน้ำ ซึ่งจีนได้เปรียบทั้งในด้านการครอบครองแหล่งแร่สำคัญและต้นทุนการทำเหมืองและแปรรูปแร่ โดยในท้ายที่สุดการกีดกันทางการค้าอาจเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิต ประสิทธิภาพการผลิต และผลผลิตโดยรวม ซึ่งอาจบั่นทอนเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะต่อไป

 

          เศรษฐกิจไทย

          แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี แต่เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเติบโตต่ำ ฉุด GDP ทั้งปี 2566 และปี 2567

          ความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องบวกกับมาตรภาครัฐ คาดว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของการใช้จ่ายในช่วงต้นปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมกราคมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 47 เดือน ที่ 62.9 จาก 62.0 ในเดือนธันวาคม ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การสนับสนุนการใช้จ่ายผ่านโครงการ Easy-e-receipt การช่วยเหลือภาระค่าครองชีพด้านราคาพลังงาน และการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวจากโครงการ Visa free แก่นักท่องเที่ยวหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่ำและฟื้นตัวช้า ภาวะภัยแล้งที่อาจส่งผลต่อรายได้และผลผลิตในภาคเกษตรรวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเย้ือที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกยังทรงตัวสูงและกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและกำลังซื้อในประเทศ

          ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะยังเติบโตต่อเนื่อง ปัจจัยหนุนจาก (i) ความเชื่อมั่นที่ยังมีแนวโน้มปรับดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นฯคาดการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้ายังทยอยเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 70.9 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 (ii) ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องซึ่งช่วยหนุนการจ้างงานและเพิ่มรายได้แก่แรงงานในภาคบริการ โดยนับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 4.4 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 2.15 แสนล้านบาท และ (iii) มาตรการภาครัฐทั้งมาตรการบรรเทาค่าครองชีพ การพักหนี้เกษตรกร และการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ สำหรับนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ล่าสุดการประชุมของคณะกรรมการนโยบายฯ เห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ โดยกำหนดกรอบเวลาพิจารณา 30 วัน

 

2708 Krungsri Research th gdp

 

2708 Krungsri Research component

 

          GDP ไตรมาส 4 ปี 2566 เติบโตต่ำเพียง 1.7% YoY วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ คาดปี 2567 โตต่ำกว่า 3% สภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนขยายตัว 1.7% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.6% และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ที่ -0.6% QoQ sa ผลกระทบจาก (i) การใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัว จากความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 (ii) รายรับจากท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามการลดลงของค่าใช้จ่ายต่อหัวแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นก็ตาม และ (iii) การลงทุนภาคเอกชนหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนไม่มีการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สำหรับทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1.9% ชะลอลงจากที่ขยายตัว 2.5% ในปี 2565 ส่วนในปี 2567 สภาพัฒน์ฯ ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็น 2.2-3.2% (ค่ากลางที่ 2.7%) จากเดิมคาด 2.7-3.7% (ค่ากลางที่ 3.2%)

          วิจัยกรุงศรีคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้อาจปรับดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจาก (i) การขยายตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว (ii) แนวโน้มการเร่งขึ้นของการใช้จ่ายภาครัฐตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 หลังจากพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีมีผลบังคับใช้ และ (iii) การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวตามการจ้างงานและปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐที่คาดว่าจะมีเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีเตรียมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลงสู่ระดับต่ำกว่า 3.0% จากที่เคยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.4% เนื่องจากตัวเลข GDP ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนอ่อนแอกว่าที่คาดไว้มาก กอปรกับปัจจัยลบจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกให้เติบโตช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนี้ หากปัญหาเชิงโครงสร้างบั่นทอนการฟื้นตัวตามวัฎจักรเศรษฐกิจจนลดทอนแรงส่งด้านอุปสงค์อาจเพิ่มความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้

 

ข้อมูลเพิ่มเติม 

วิจัยกรุงศรี: https://www.krungsri.com/th/research/home

อีเมล: This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

 

 

2708

Click Donate Support Web 

AXA 720 x100

Banner GPF720x100 PX

MTL 720x100

kbank 720x100 66

วิริยะ 720x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100

ais 720x100

QIC 720x100

gen 720x100

CKPower 720x100

TOA 720x100

SME 720x100 66