WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1abiaa3

IAA สรุปผลสำรวจความเห็น สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ต่อทิศทางการลงทุนในปี 2563

       นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย  (SET Index)  ในครึ่งหลังของปี 2563 นี้ โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 20 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 15 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 4 บริษัท และบริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 1 บริษัท ซึ่งได้ปรับสมมติฐานหลักเป็นปัจจุบันแล้ว ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

              

สมมติฐานด้าน GDP ในปีนี้ มีค่าเฉลี่ยการขยายตัวที่ -7.21%

        ส่วนสมมติฐาน GDP ปี 64 นั้นผู้ตอบทุกรายมองว่าเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 4.24% และไม่มีผู้ตอบที่มองแย้งว่า GDP ปี 64 จะติดลบ

        ทางด้านราคาน้ำมัน ผู้ตอบแบบสอบถามได้ปรับใช้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปี 2563 ที่ 41.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยแยกตามกลุ่ม มีผู้ตอบดังนี้

  • • 35 – 39.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 10.53
  • • 40 – 44.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 63.16
  • • 45 - 49.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 26.32

       สำหรับ ปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในครึ่งหลังของปี 2563 ได้แก่ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก ผู้ตอบแบบสำรวจ 95% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 70% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED)  และผู้ตอบ 50% คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ จะส่งผลบวก ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก

       ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในครึ่งหลังของปี 2563  ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือปัจจัยด้านผลประกอบการของบจ. และสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 เป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวต 80% ขึ้นไป และเศรษฐกิจภายในประเทศ 75% ตามลำดับ

        เป็นที่น่าสังเกตุว่า ปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศนั้นไม่มีผลมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 10% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบ 35% ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ

        สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่เสนอให้ภาครัฐใช้นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนให้มีกำลังซื้อ จำนวน 47.06% ของผู้ตอบ ได้แก่ ชดเชยรายได้ การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฯลฯ ส่วนด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ มีผู้ตอบ 41.18% ข้อเสนอได้แก่ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลง หรือการชดเชยอื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ นอกเหนือจากข้อเสนอดังกล่าว มีผู้ตอบ 35.29% ที่เสนอให้ภาครัฐเร่งโครงการลงทุนภาครัฐ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

      ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลด 0.25% ในครึ่งหลังของปี 2563 ร้อยละ 60 ของผู้ตอบ และคาดว่าคงที่ ร้อยละ 40 ตามลำดับ

       คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 65.44 บาท ลดจากการสำรวจครั้งก่อน 79.70 โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้

  • • 60 – 64.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 23.53
  • • 65 – 69.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 64.71
  • • 70 - 74.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

EPS Growth ของงบปี 2563 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -22.30 เมื่อแยกตามช่วงระดับการเติบโต จะอยู่ระหว่างร้อยละ

  • • -1  ถึง  -9.99   มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
  • • -10 ถึง -19.99  มีผู้ตอบร้อยละ 11.76
  • • -20 ถึง -29.99  มีผู้ตอบร้อยละ 64.71
  • • -30 ถึง -39.99  มีผู้ตอบร้อยละ 11.76

       ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนร้อยละ 45 มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่3 มีแนวโน้มไปในทิศทางลบ ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 35 มองไปในในทิศทางSideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากไตรมาส 2 และร้อยละ20 มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางบวก

       ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,347 จุด

       สำหรับ ปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดในไตรมาส 3 นั้นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า สถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 รวมถึงความเสี่ยงของการเกิด Second Wave เป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและผลประกอบการ ตามลำดับ

       สำหรับ จุดสูงสุดของ SET Index ในช่วง ก.ค. ถึงสิ้นปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,448 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 72.22 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,401 – 1,500 จุด  และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 22.22 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,301 – 1,400 ตามลำดับ

คาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย  (SET Index) ระหว่างปีนับจากนี้มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,236 จุด

    ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,383 จุด ซึ่งมากกว่าผลสำรวจของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 1,276 จุด

      ความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการจัดพอร์ตการลงทุน มีความเห็นว่าร้อยละ 23.71 แนะนำลงทุนหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย รองลงมา ร้อยละ 19.71 มองว่าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และร้อยละ 18.53 แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ/กองทุนหุ้นต่างประเทศ ตามลำดับ

5 หุ้นเด่น

        รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้  (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

  1. ADVANC โดยมีปัจจัยบวก 3 ปัจจัย คือ 1)บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งทำให้ยังสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องโดยปัจจุบันเงินปันผลอยู่ที่ระดับ 3-4% 2)การเพิ่มขึ้นของการใช้งานบริการอินเตอร์เน็ต WiFi ในช่วงไวรัส COVID-19 ระบาด เพิ่มขึ้นมากถึง 41.5% หลังหลายธุรกิจให้พนักงาน Work From Home 3)เป็นหุ้นใหญ่ที่ยังมีการปรับตัวขึ้นไปไม่มากในช่วงที่ผ่านมา ADVANC มีการปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ราคา 156.50 บาท มาทรงตัวอยู่ที่ระดับราคา 185.00 บาท
  2. CK มีประเด็นสนับสนุนจาก ภาพรวมการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการชะลอการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ออกไปหลายโครงการเนื่องจากการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19 แต่หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ เริ่มลดลงจนกระทั่งเป็น 0 รายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาครัฐเริ่มมีการกลับมาเปิดประมูลโครงการใหญ่ๆหลายโครงการได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท,โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่ากว่า 8 หมื่นล้านบาท และ ยังมีโครงการรอการเปิดประมูลงานเดินรถของรถไฟฟ้าสายสีม่วง  (ราษฎร์บูรณะ-คลองบางไผ่) รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม) เป็นมูลค่างานก่อสร้าง 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
  3. CPALL โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเป็นผู้นำร้านค้าสะดวกซื้อซึ่งจะฟื้นตัวได้ดีที่สุด และได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ ผสานกับการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง จะกลับมาหนุนกำไรปีหน้าโต 2 หลัก +14%
  4. CPF โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสัตว์สูงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ชดเชยเงินบาทแข็งได้
  5. INTUCH โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปันผลสูงและกระแสเงินสดมั่นคง

H download

IAA Survey ไตรมาส 3-2563

 

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!