- Details
- Category: ปปช.
- Published: Saturday, 25 April 2015 15:51
- Hits: 5513
'วิชา'แถลงเปิดสำนวนคดีสอย 'บุญทรง-ภูมิ-มนัส'ย้ำทุจริตทุกขั้นตอน .
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ทำหน้าที่ประธานในการประชุม โดยพิจารณาเรื่องด่วน ดำเนินกระบวนการถอดถอนนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ประกอบมาตรา 56 (1) และมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการแถลงเปิดสำนวนตามรายงานและความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะผู้กล่าวหา และการแถลงคัดค้านโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนหรือรายงานพร้อมความเห็นของป.ป.ช. ของผู้ถูกกล่าวหา ตามข้อบังคับ ข้อ 154 วรรคหนึ่ง
ทั้งนี้ นายพรเพชร ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ผู้ถูกกล่าวหาคือ นายบุญทรง และนายภูมิได้ทำหนังสือคัดค้านการบรรจุวาระการถอดถอนเข้าสู่ที่ ประชุม สนช.รวมทั้งคัดค้านวิธีพิจาณาการถอดถอน ว่าไม่เป็นไปตามข้อบังคับการประชุม ซึ่งขอชี้แจงว่า ในครั้งการพิจาณาถอดถอนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นายนิคม ไวยรัชพาณิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ก็ได้มีการร้องเรียนคัดค้านเช่นเดียวกัน ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาและมีมติว่า ความผิดดังกล่าว สนช.มีอำนาจในการถอดถอนและถือเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการถอดถอน
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้แทน ป.ป.ช. เป็นผู้แถลงเปิดสำนวนคดี ว่า เมื่อมีผู้ร้องเรียนพบการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คณะกรรมการป.ป.ช.ได้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ปี 42 และได้มีการไต่สวนพยาน และผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม เพื่อนำเสนอเป็นรายงานต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย นายภูมิ นายบุญทรง และนายมนัส รวมถึงข้าราชการทั้งหมด 21 ราย โดยเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นการรับจำนำข้าวที่มีข้อท้วงติงตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่มกระบวนการว่าจะก่อให้เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน มีผู้ออกมาตรวจสอบและตักเตือนให้ระงับยับยั้งในโครงการดังกล่าว ทั้ง ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และรัฐสภา ตลอดจนนักวิชาการ รวมทั้งที่ปรึกษารัฐบาลและรัฐมนตรีบางท่านที่อยู่ในรัฐบาลขณะนั้น อาทิ นายธีระชัย ภูวนาทนรานุบาล เป็นต้น แต่ก็ไม่มีการฟังเสียงท้วงติง
นายวิชา กล่าวว่า กระบวนการทั้งหมดทำให้ระบบค้าข้าวทั้งประเทศเสียหาย โดยรัฐบาลชอบอ้างการช่วยเหลือชาวนา และถ้าผู้ใดคัดค้าน ก็จะกล่าวหาว่าคนที่คัดค้าน ไม่สงสาร ไม่เห็นใจชาวนาที่ยากจน ทั้งที่เราสามารถช่วยเหลือชาวนาได้อีกหลายวิธี ที่เป็นวิธีที่ยั่งยืน ซึ่งการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นการค้าขายที่มิใช่การกระทำแบบรัฐต่อรัฐอย่างแท้จริง มีข้อพิรุธผิดปกติมากมาย เพราะไม่มีการขายข้าวให้แก่รัฐบาลหรือตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศ ที่สำคัญไม่มีการส่งออกข้าวและทำสัญญาซื้อขายไปยังต่างประเทศ ดังนั้นการอ้างว่าเป็นการขายแบบจีทูจี ถือว่าผิดวิธีมาตั้งแต่ต้น มีการรับจำนำในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด จนทำให้เกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก และระบายข้าวแบบจีทูจีในราคาที่ต่ำกว่าปกติ เพราะเป็นราคาขายมิตรภาพ แต่ก็ยังเวียนข้าวอยู่ในประเทศ ย่อมเพิ่มมูลค่าเสียหายเป็นเท่าทวีคูณ ส่งผลกระทบสร้างความเสียหายต่อระบบงบประมาณอย่างร้ายแรง
นายวิชา กล่าวว่า ยังมีข้าราชการที่ยืนหยัดที่ต่อสู้เพื่อความจริงอย่างซื่อสัตย์สุจริต อาทิ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนางชุติมา บุญยประภัสสร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน ที่เป็นพยานบุคคลสำคัญ ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยยืนยันว่าไม่มีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอย่างแท้จริง และเมื่อคณะกรรมการป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและรับฟังผู้ถูกความกล่าวหาทั้งหมดแล้ว สรุปได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจจัดการหรือรักษาข้าว และการพิจารณาการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ได้มีเจตนาร่วมกันกระทำผิดกฎหมาย พร้อมด้วยกลุ่มบุคคลที่เป็นภาคเอกชน กระบวนการทุจริตจำนำข้าวไม่สามารถทำได้โดยลำพัง เพราะต้องกระทำได้ 3 ฝ่าย คือ ข้าราชประจำ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นักธุรกิจภาคเอกชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนทุจริตทุกขั้นตอน
นายวิชา กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและผู้อื่น ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และประเทศชาติอย่างร้ายแรง คณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนนเสียง 7 เสียงว่ากระทำของนายมนัส นายภูมิ และนายบุญทรง ในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากครม.ให้เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ กลับไปดำเนินการเจรจาและให้ความเห็นชอบในการทำสัญญาซื้อขายข้าวกับบริษัทกวางตุ้ง และบริษัทไห่หนาน ที่ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลจีนในการทำจีทูจี และไม่ใช่หน่วยงานที่มีวัตถุประสงค์กับการค้าขายข้าวโดยตรงจากรัฐบาลจีน ดังเช่นหน่วยงานของไชน่า เนสชั่นแนล ซีลีนออยแอนด์ฟูตสตัค คอร์ปอร์เรชั่น หรือออคโค้ ประกอบกับเงินที่นำมาชำระค่าข้าว ไม่ได้นำมาจากหน่วยงานทั้งสองแห่ง อีกทั้งไม่มีการขนข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ออกนอกราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกระบวนการปกติของการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเปิดแอลซี หรือเลตเตอร์ออฟเครดิต ไม่ใช่จ่ายเป็นเช็คเงินสดให้กรมการค้าต่างประเทศ หรือเอ๊กแวร์เฮ้าท์
"การกระทำดังกล่าวจึงมีความผิดทางอาญาฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ผู้หนึ่งผู้ใดให้เป็นผู้ได้สิทธิ์ ได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติการพิจารณาหรือการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอราคารู้ว่าการเสนอราคาครั้งนี้ มีการกระทำความผิด แต่ละเว้นไม่ดำเนินการเพื่อไม่ให้มีการยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอ ราคา และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐและทำการโดยมุ่งหมายไม่ให้เสนอราคา อย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยกับผู้เข้าเสนอราคาให้เป็นผู้มีสิทธิ์ทำสัญญากับหน่วยงานของ รัฐ โดยเป็นไปตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 มาตรา 10 และมาตรา 12" นายวิชา กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำจัดการรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายกับกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์และประเทศชาติอันเป็นส่วนรวมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และมาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดใน ตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายกับกรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์และประเทศชาติ หรือปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยทุจริตตามพ.ร.บ.ป.ป.ช. ปี 42 มาตรา 123 / 1 ซึ่งคณะกรรมป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้องคดีและศาล ฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ประทับฟ้องและนำไปสู่การ พิจารณาคดีแล้ว
นายวิชา ยังกล่าวอีกว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงได้พบว่าแคชเชียร์เช็คที่นำมาชำระหนี้ค่าข้าวรัฐต่อรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นแคชเชียร์เช็คของผู้ประกอบการค้ามันสำปะหลัง ซึ่งเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวเป็นจำนวนมากถึง 3 พันกว่าล้านบาท และเอกสารหลักฐานปรากฏว่าผู้ประกอบการมันสำปะหลังเหล่านี้ เมื่อได้ส่งมอบแคชเชียร์เช็คให้กรมการค้าต่างประเทศแล้วก็ได้มีการเบิกมันสำปะหลังจากคลังสินค้าของรัฐบาล คณะกรรมการป.ป.ช.จึงได้มีมติด้วยว่าให้สำนักงานป.ป.ช.แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานว่าในช่วงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ได้ทำสัญญาซื้อขายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐที่ไม่ได้เป็นความจริง เช่นเดียวกับการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอีกหรือไม่อย่างไร พร้อมกันนั้นกระบวนการไต่สวนพบว่าได้มีบริษัท จีนคือตัวละครชุดเดิมและชุด ใหม่รวมทั้งสิ้น 4 บริษัทได้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายในลักษณะที่แบบตัวละครเดียวกันหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ราชการ หรือนักธุรกิจ หรือผู้ประกอบธุรกิจในด้านการค้าข้าว มันสำปะหลัง เพราะฉะนั้นคณะกรรมการป.ป.ช.กำลังดำเนินกระบวนการไต่สวนโดยเร่งด่วนเพื่อที่จะนำเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายอาญาต่อไป
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย