- Details
- Category: อัยการ-สูงสุด
- Published: Friday, 05 September 2014 09:06
- Hits: 10394
อสส.อ้างสำนวนหลวมยื้อฟ้อง‘ปู’ตั้งกก.ร่วมสอบทุจริตข้าว
แนวหน้า : อสส.อ้างสำนวนหลวม ยื้อฟ้อง‘ปู’ ตั้งกก.ร่วมสอบทุจริตข้าว ซัดไม่มีรายละเอียดทำผิดยังไง ปปช.ลั่นอายุความ15ปี-ฟันแน่ ชงเชือด‘หญิงเป็ด’เบิกเงินกฐิน ‘ชายหมู’ระทึกตัดสินใบเหลือง
เมื่อวันที่ 4 กันยายน นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงมติอัยการสูงสุดคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งสำนวนพร้อมมติชี้มูลความผิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เรื่องละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจโดยมิชอบ จากกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบากท
อสส.ยื้อฟ้อง“ปู”คดีโกงข้าว
โดยนายวันชัยระบุว่า หลังรับเรื่องนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด (อสส.) ได้ตั้งคณะทำงาน มีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าขึ้นมาพิจารณา และมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า สำนวนคดียังมีข้อไม่สมบูรณ์ พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ที่จะส่งฟ้องดำเนินคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามข้อกล่าวหาได้
อ้างสำนวนปปช.อ่อน 3 จุด
ทั้งนี้ ประเด็นที่อัยการสูงสุดเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์พอที่จะส่งฟ้องได้มี 3 ข้อคือ 1.เมื่อข้อเท็จจริงที่ระบุโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการของรัฐบาล ที่แถลงไว้เป็นนโยบายต่อรัฐสภา จึงควรรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ความชัดว่า นายกรัฐมนตรีมีอำนาจยับยั้งโครงการที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาหรือไม่
2.ประเด็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ควรไต่สวนรวบรวมพยานหลักฐานให้สิ้นกระแสความว่า หลังโครงการจำนำข้าวถูกท้วงติงจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ตรวจสอบและป้องกันการทุจริตหรือไม่ และผลการตรวจสอบเป็นอย่างไร
3.ประเด็นเรื่องการทุจริต ควรไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้ได้ความว่า โครงการจำนำข้าวที่ยืนยันว่ามีการทุจริตนั้น พบทุจริตในขั้นตอนใด อย่างไร นอกจากนี้ มีการกล่าวอ้างถึงรายงานการวิจัยโครงการรับจำนำข้าวของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)ว่า โครงการดังกล่าวมีการทุจริตและมีความเสียหายจำนวนมาก แต่ในสำนวนการไต่สวนปรากฎมีเพียงหน้าปกรายงานการวิจัยเท่านั้น จึงให้รวบรวมรายงานวิจัยทั้งฉบับเป็นพยานหลักฐานในสำนวนให้สมบูรณ์
ตั้งคณะทำงานร่วมหาข้อยุติ
โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวอีกว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบแล้ว และอัยการสูงสุดมีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการและ ป.ป.ช.ฝ่ายละ 10 คนภายใน 14 วัน โดยมีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงานในส่วนอัยการ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานไต่สวนพยานเพิ่มเติมให้สำนวนคดีมีความสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการฟ้องคดีต่อไป ส่วนกรอบระยะเวลาพิจารณานั้นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานในสำนวน ทั้งนี้ ตามขั้นตอนเมื่อคณะทำงานร่วมพิจารณาเสร็จ ก็จะเสนอความเห็นไปยังอสส.ชี้ขาดอีกครั้งว่า จะสั่งฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่ หากทั้ง2 ฝ่ายเห็นตรงกันให้สั่งฟ้อง อัยการก็จะยื่นฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อศาลฎีกาฯ แต่ถ้าทั้งสองฝ่าย มีความเห็นไม่ตรงกันก็จะส่งสำนวนกลับคืนให้ป.ป.ช. ซึ่งป.ป.ช.สามารถตั้งทนายความยื่นเองได้
โบ้ยไม่ลงรายละเอียดโกงยังไง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สำนวนของป.ป.ช.ไม่สมบูรณ์อย่างไร นายวันชัยกล่าวว่า รายละเอียดในสำนวนของ ป.ป.ช. ระบุเพียงว่ามีการทุจริตทุกขั้นตอน แต่ไม่ลงรายละเอียดว่าทุจริตอะไร ส่วนไหน ที่ไหน อย่างไร ใครทำ และผู้ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร หากคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในศาลฎีกาฯจะถูกซักถาม จึงต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์กว่านี้
จ่อสอบพยานหาหลักฐานเพิ่ม
ถามต่อว่า ผลงานวิจัยของทีดีอาร์ไอถือเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญในคดีหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทางทนายความผู้ถูกกล่าวหาร้องขอความเป็นธรรมไว้ นายวันชัยกล่าวว่า ผลงานวิจัยของทีดีอาร์ไอเป็นเพียงส่วนหนึ่งในพยานหลักฐาน ซึ่งป.ป.ช.กลับไม่นำเนื้อหาของผลงานวิจัยทั้งหมดมาใส่ในสำนวนคดี มีเพียงหน้าปกของงานวิจัยเท่านั้น ทำให้ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่คณะทำงานร่วมต้องพิจารณาให้พยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ใน 3 ประเด็นที่ทางอัยการสูงสุดแจ้ง ซึ่งอาจต้องสอบปากคำพยาน รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยจะพิจารณาไปพร้อมกับประเด็นที่ทนายความผู้ถูกกล่าวหาได้ร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา
“คดีนี้คล้ายคดีของ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่ต้องตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อให้สำนวนสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นถ้าคดีขึ้นสู่ศาลแล้วหากศาลยกฟ้องใครจะรับผิดชอบ จะไปบอกว่าป.ป.ช.ไต่สวนบกพร่องหรืออัยการบกพร่องก็คงไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องทำให้ดีที่สุด ยืนยันการทำคดีดังกล่าวไม่มีความกังวลต่อกระแสกดดันทางการเมืองใดๆ” นายวันชัยกล่าว
ปปช.พร้อมตั้งคณะทำงานร่วม
ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ป.ป.ช. ทราบเรื่องที่อัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์แล้ว ต้องรอการประสานจากคณะทำงานของอัยการสูงสุดก่อน และนำเรื่องเข้าที่ประชุมป.ป.ช.อีกครั้ง ทั้งนี้ คณะทำงานร่วมที่ตั้งขึ้นมามีเวลา 14 วันในการพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องอีกครั้ง แต่ถ้าอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้อง ก็จะส่งเรื่องมาให้ป.ป.ช. ซึ่งก็จะพิจารณาว่าจะส่งฟ้องเองหรือไม่ ถ้าคณะทำงานร่วม ไม่สามารถสั่งฟ้องได้ภายใน 14 วัน เพราะพยานหลักฐานมีมาก ก็สามารถสั่งฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความ 15 ปี
“วรงค์”แคลงใจมติอสส.
มีความเห็นจากน.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่เกาะติดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวต่อมติของอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ เนื่องจากสำนวนยังไม่สมบูรณ์ว่า ตนเคารพในคำวินิจฉัย แต่คำแถลงใน 3 ประเด็นฟังแล้วยังไม่สบายใจ เพราะมองว่ายังตอบข้อสงสัยต่อสังคมและประชาชนไม่ได้ อย่างที่อ้างอำนาจนายกรัฐมนตรีที่จะระงับโครงการ หรือนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งที่ผ่านมาน.ส.ยิ่งลักษณ์สั่งลดราคาน้ำมันโดยยกเลิกจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ก็แสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจนี้ได้ หรือการท้วงติงจากสตง.และป.ป.ช. รวมถึงตนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา และตั้งกระทู้ถามโดยตรงต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯขณะนั้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจแก้ปัญหา อีกทั้ง จากการติดตามข้อมูลโครงการจำนำข้าว พบทุจริตทุกขั้นตอน และเปิดเผยหลักฐานกลางสภามาแล้ว ไม่ทราบว่าป.ป.ช.นำหลักฐานเสนอให้อสส.ครบหรือไม่ ฉะนั้น อสส.จึงต้องตอบข้อสงสัยของสังคมให้ได้ ซึ่งเท่าที่ฟัง อสส.มองว่า ยังไม่เข้าใจโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเท่าที่ควร
ดักคอทนายปูรู้มติอสส.ล่วงหน้า
ส่วนกรณีนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุถึงหนังสือที่ตนเปิดตัวไป ไม่มีผลทางคดีที่อสส.กำลังพิจารณาอยู่นั้น นพ.วรงค์ตั้งข้อสังเกตว่า แสดงว่าทีมทนายความของน.ส.ยิ่งลักษณ์รู้ผลการพิจารณาคดีของ อสส.ก่อนแล้วใช่หรือไม่
เมินพท.ร้องคสช.จี้เก็บมหากาพย์ฯ
สำหรับ กรณีที่ นายสิงห์ทอง บัวชุม ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึงหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกร้องให้ตรวจสอบ ระงับ ยับยั้ง และเรียกเก็บหนังสือมหากาพย์โกงข้าวที่ตนเปิดตัวไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น นพ.วรงค์กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ เพาะการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวทางการเมือง และการขายหนังสือเล่มนี้ก็เป็นกิจกรรมเพื่อการกุศล หาเงินไปทำโครงการวิจัยให้เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษได้
“สิงห์ทอง”ท้าประหารถ้านายโกง
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันเดียวกัน นายสิงห์ทอง ได้เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เรียกร้องให้ หัวหน้า คสช. ห้ามจำหน่ายและเผยแพร่หนังสือ มหากาพย์โกงข้าวของ นพ.วรงค์ โดยอ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมสู้คดีทุจริตจำนำข้าว เพราะเชื่อมั่นกระบวนการที่เป็นไปตามปกติ จึงขออย่าใช้อำนาจพิเศษ หรือมีธง เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในอนาคต การเข้ายื่นเรื่องต่อ คสช. ครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ให้กำลังใจและมั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเองบริสุทธิ์ เพราะเป็นนโยบายของรัฐ แต่ถ้ากรณีมีขั้นตอนทุจริตจากที่พ่อค้านายทุน โรงสีหมุนข้าวออกไปแล้วนำกลับมาไม่ทัน ก็เป็นเรื่องความผิดส่วนบุคคลไม่ใช่ของรัฐบาล และวันนี้ที่ ป.ป.ช.ชี้ ไม่ใช่เรื่องทุจริต แต่เป็นกรณีละเว้นปฎิบัติหน้าที่ ถ้านายกฯยิ่งลักษณ์ทุจริตจริง ประหารชีวิตเลย แต่ขอให้มีความเป็นธรรม
สั่งฟ้องอาญาหญิงเป็ดผิดม.157
วันเดียวกัน นางสันทนี ดิษยบุตร รองโฆษก อสส.เปิดเผยว่า นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน กับพวกรวม 2 คน ความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กรณีปี 2546 คุณหญิงจารุวรรณ ร่วมกับพวกจัดสัมมนาที่ จ.น่าน ทั้งที่ไม่ได้มีการสัมมนาจริง แต่เพื่อให้บุคคลที่มีรายชื่อเข้ารับการสัมมนาไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สามารถเบิกค่าเดินทาง ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายต่างๆได้ ซึ่งคดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ดำเนินคดีอาญาฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ ซึ่งเดิมอัยการสูงสุดได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ และตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและป.ป.ช. ต่อมาคณะทำงานร่วมฯรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์ และได้ข้อยุติให้ฟ้องคดี
ลุ้นศาลเคาะคดีใบเหลือง’ชายหมู’
ด้าน นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกประจำตัวผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)กล่าวถึงกรณีศาลอุทธรณ์นัดฟังคำตัดสินกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติ 3 ต่อ 2 ให้ใบเหลือง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.กระทำการหาเสียงใส่ร้ายให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ขัดพ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา57(5) มีผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริต โดยนัดฟังคำตัดสินวันที่ 5 กันยายน เวลา 09.30 น.ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จะเดินทางไปฟังคำตัดสินด้วยตัวเอง ไม่มีความกังวลใจ เพราะมั่นใจพยาน หลักฐานที่นำมาต่อสู้มีน้ำหนักมากพอ นอกจากนี้ ทีมกฎหมายได้ศึกษาคดีที่เกี่ยวข้องมีลักษณะใกล้เคียงกันในอดีต พบว่า ส่วนใหญ่ยกคำร้องทั้งหมด