- Details
- Category: กสทช.
- Published: Sunday, 28 February 2016 10:26
- Hits: 2021
เจ๊ติ๋ม สู้'กสทช.'ยืนยันไม่ผิดไทยทีวีพึ่งศาลชี้ขาดย้ำยึดแบงก์การันตีสถานะยังแกร่ง
ไทยโพสต์ : ลาดพร้าว *'ติ๋ม ไทยทีวี' ประกาศชัด ไม่ผิด สู้ถึงที่สุด รอศาลตัดสิน หลังยื่นคุ้มครองศาลปกครองกลาง ย้ำถึงยึดแบงก์การันตีก็ไม่ล้มละลาย เดินหน้าหาพาร์ทเนอร์ต่างประเทศลุยทีวีดาวเทียม พร้อมขยายธุรกิจท่องเที่ยว
นางพันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยทีวี จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้รับหนังสือแจ้งเตือนการค้างชำระค่าใบอนุญาตจากสำนักงาน คณะกรรมการกิจการกิจการกระจายเสียง กิจ การโทรทัศน์และกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็น จำนวน 1,748.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.พ.2559 ที่ผ่านมา ทางบริษัทจึงตัดสินใจยื่นหนังสือต่อศาลปกครองกลาง ในวันที่ 15 ก.พ.2559 เพื่อขอให้ศาลพิจารณาคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งศาลจะนัดไต่สวนในวันที่ 23 ก.พ.2559 นี้
ทั้งนี้ มั่นใจว่า บ.ไทยทีวีไม่ผิด กสทช.ที่ทำผิด โดยยังคงยึดในหลักการเดิมคือ จะฟ้องร้องหาความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่า ใครควรจ่ายเงิน บ.ไทยทีวี หรือ กสทช.ที่จะต้องเยียวยาและจ่ายเงินชดเชยนี้ เนื่องจาก กสทช.ไม่ปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ และคำมั่นที่ให้ไว้ก่อนและหลังการประมูลทีวีดิจิตอล
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้บริษัทได้ยื่นต่อศาลเพื่อขอคืนใบอนุญาต ทั้ง 2 ช่องรายการ คือช่องไทยทีวี และช่องเอ็มวีทีวี แฟมิลี่ (ช่องโลก้า) กลับไปยัง กสทช.พร้อมกับเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 713.83 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี รวมถึงขอคืนค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทั้ง 2 ฉบับ เป็นเงิน 365.51 ล้านบาท บวกรวมดอกเบี้ยอีก 7.5% ต่อปี แต่ กสทช.ไม่ได้ปฏิบัติตามหรือเยียวยาแต่อย่างใด ทำให้บริษัทต้องต่อสู้อย่างยืดเยื้อ ซึ่งการเจรจาในครั้งล่าสุดช่วงปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ที่ขยายเวลาให้ บ.ไทยทีวี 3 เดือน เพื่อหาพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมลงทุนในทั้ง 2 ช่องนั้น เป็นเพียงช่วงเวลาที่สั้น และตนเองก็ได้ยืนยันต่อศาลไปแล้วว่า จะขอยกเลิกใบอนุญาต ไม่ขอทำต่อ
"มองว่า ตอนนี้เรายังไม่รู้หรอกว่าใครจะต้องเป็นคนจ่ายเงินให้ใคร คงต้องรอศาลตัดสินเท่านั้น และหากถ้าถึงที่สุดต้องยึดแบงก์การันตีจริง เชื่อว่าคงใช้เวลาในชั้นศาลนานมาก ถึงตอนนั้นธุรกิจในส่วนอื่นที่บริษัทมีก็คงมีผลกำไรและรายได้เป็นหลายพันล้าน ซึ่งไม่เกิดการล้มละลายอย่างที่เป็นกระแสข่าวแน่นอน ซึ่งถ้าเราดิ้นรนทำต่อไป ในทีวีดิจิตอลที่โครงข่ายก็ไม่พร้อม การประชาสัมพันธ์ก็ไม่ทั่วถึง มีแต่เสียรายได้ต่อเดือนในปีแรก ไม่ถึง 3 ล้านบาท สู้ไปขายเต้าฮวยยังได้เงินมากกว่า 30 ล้านบาททั้งปีเสียอีก" นางพันธุ์ทิพา กล่าว
ส่วนกรณีของผลกระทบที่จะเกิดกับใบอนุญาตของทีวีดาวเทียมหลังจากติดแบลก ลิสต์ที่ทำผิดเงื่อนไขไม่จ่ายค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอลนั้น มองว่าคนละส่วนกันเพราะผู้รับใบอนุญาตทีวีดาวเทียมเป็นคนละนิติบุคคลกับ บ.ไทยทีวี ซึ่งตอนนี้ได้ให้ทีมกฎหมายของบริษัทศึกษารายละเอียดอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะตนไม่ยอมแพ้ในการทำธุรกิจทีวีแน่นอน ยังคงต้องการทำธุรกิจด้านนี้ต่อไป โดยหาพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้พูดคุยกับต่างประเทศไว้บ้างแล้ว อีกทั้งบริษัทยังคงมีธุรกิจในด้านอื่นที่พร้อมขยายต่อไป ทั้งนิตยสาร ทีวีดาวเทียม และธุรกิจใหม่อย่างธุรกิจท่องเที่ยว ที่กำลังไปได้ดี แม้จะมีผลกระทบบ้างเมื่อมีข่าวลือว่าจะล้มละลาย.