- Details
- Category: อาชญากรรม
- Published: Monday, 08 December 2014 09:34
- Hits: 5601
วันที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8776 ข่าวสดรายวัน
เสี่ยนิคโต้ปมหนี ร่อนจม. แฉกลับเสธ.เจี๊ยบ อ้าง 120 ล.เคลียร์แล้ว ไม่รู้จักอัครพงศ์ปรีชา โฆษกตร.สวนทันควัน ปัดแกล้ง-ท้ามอบตัว
โต้แหลก - นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือเสี่ยนิค ออกจดหมายชี้แจงผ่านสื่อ ยอมรับรู้จักกับน.ท.ปริญญา รักวาทิน หรือเสธ.เจี๊ยบ แต่ไม่รู้จัก 3 พี่น้อง 'อัครพงศ์ปรีชา'และไม่เคยจ้างวานให้ไปเจรจาลดหนี้ 100 ล้านตามที่เป็นข่าว
โต้แหลก ซัด'เสธ.เจี๊ยบ' ทำเรื่องบานปลายเองเสี่ยนพพร เศรษฐีหมื่นล้าน ร่อนจดหมายแจงปมหนี้ 120 ล้านบาท ยันไม่มีเอี่ยวแก๊งอุ้มลดหนี้ ครวญตกเป็นแพะถูกป้ายสี จึงต้องหนีไปตั้งหลัก ด้าน'โฆษก ตร.'โต้ประเด็นชี้แจงขัดแย้งข้อเท็จจริง พูดลอยๆ ท้าเข้ามอบตัวพิสูจน์กันในศาล ผกก.วัดพระยาไกรปัดกลั่นแกล้ง เตรียมส่งเสธ.เจี๊ยบฝากขังศาลทหาร 8 ธ.ค.นี้
จากกรณีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. และพวกร่วมทำความผิด ทั้งซื้อขายตำแหน่งในบช.ก. เรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อน และความผิดตามมาตรา 112 จนถูกดำเนินคดีและให้ออกจากราชการ โดยถูกฝากขังต่อศาลและคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อมาสืบพบว่านายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ เกี่ยวข้องด้วย จึงติดตามล่าตัวและตั้งค่าหัว 1 ล้านบาท แต่จากการสืบสวนพบว่าหลบหนีไปต่างประเทศแล้ว
นอกจากนั้น ยังพบกลุ่มผู้ต้องหาแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ รับจ้างทวงหนี้และลดหนี้ จนนำมาสู่การจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีกหลายราย พร้อมออกหมายจับนายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือเสี่ยนิค เศรษฐีหมื่นล้านติดอันดับที่ 31 ของไทย ฐานจ้างวานให้อุ้มบังคับลดหนี้ ซึ่งหลบหนีไปประเทศกัมพูชาแล้ว และออกหมายจับนายเจี๊ยบ ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างเสี่ยนิคกับทีมอุ้ม
ต่อมาน.ท.ปริญญา รักวาทิน หรือเสธ.เจี๊ยบ อายุ 52 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา เข้ามอบตัวที่บช.น.เมื่อวานที่ผ่านมา และเตรียมนำตัวฝากขังต่อศาลทหารในวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ขณะที่ ตร.ปทุมธานี จับกุมนางนวลรัตน์ เฮงกิจเจริญเลิศ "เจ๊ โรงน้ำแข็ง" จ้างแก๊งพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ขู่เสี่ยโรงน้ำแข็งที่ตลาดไทได้แล้ว และนำตัวฝากขังผัดแรกที่ศาลทหารไปแล้ว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ได้ส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงและร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกตำรวจออกหมายจับ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอุ้มบังคับลดหนี้ของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก ถึงบรรณาธิการและสื่อมวลชน จากต่างประเทศ โดยมีข้อความระบุในเอกสารดังนี้
เรียน ท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชน เรื่องกระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์) ผู้ตกเป็นเหยื่อ สืบเนื่องจากการมีข่าวของกระผม นพพร ศุภพิพัฒน์ เข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวการเจรจาหนี้ ที่เป็นคดีสำคัญ และถูกกล่าวหาว่าใช้จ้างวานให้สามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาไปอุ้มตัวนายบัณฑิต มาเพื่อบีบให้ลดหนี้จำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท จนต่อมาถูก เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาต่างๆ รวมถึงความผิดตาม ม.112 ความตามที่ท่านทราบแล้วนั้น ตามความเป็นจริงแล้วกระผมคือผู้ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด กระผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากท่านสื่อมวลชนเท่านั้น ที่จะให้ความยุติธรรมกับกระผมได้ และสื่อสารความจริงสู่สังคมและสาธารณชน เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆดังนี้
1.กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต ความเดิมคือกระผมกับนายบัณฑิตและเพื่อนอีก 2 คนร่วมกันลงทุนในบริษัทชื่อ กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 กระผมได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3 คน รวมทั้งนายบัณฑิตไม่เห็นว่าเป็นการกู้ยืมจึงไปแจ้งความดำเนินคดีกระผมในข้อหายักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัทฯ ในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของบริษัทฯ (ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน) จำนวน 8.9 ล้านบาทแทนบริษัทในปี 2547 และในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทฯ อีก 17 ล้านบาท
โดยได้ไปทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 โดยในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่าผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทฯ จนครบถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ พร้อมเอกสารประกอบ เดือนเมษายน 2555 ซึ่งมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) จึงคงเหลือแต่นายบัณฑิตซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้านดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้น กระผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆ กับนายบัณฑิตทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2555
2.ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป กระผมจึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้านไปให้นายบัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีที่กระผมติดหนี้บริษัทซึ่งกระผมได้ชดใช้ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้ตอบกลับจากนายบัณทิต จนกระทั่งกระผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรปในวันที่ 24 พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่านายบัณฑิตจะเปิดตัวเลขกลับมาที่ 100 ล้านบาท (ซึ่งคงเพราะทราบว่านิตยสารฟอร์บฉบับเดือนมิถุนายนได้ประเมินทรัพย์สินของกระผมที่ 26,000 ล้าน)
แต่กระผมคิดว่า น่าจะต่อรองได้ในราคา 50-60 ล้านบาท (ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง) ในวันที่ 18 มิถุนายนขณะกระผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสจึงให้นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2 ฉบับมาให้ทางอีเมล์ ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้าน ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้าน (หลักฐานตามอีเมล์อีกฉบับที่ผมส่งมาพร้อมกันนี้) จากนั้นกระผมปรินต์สัญญาทั้งสองฉบับออกมาเพื่อลงชื่อ และส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL (หลักฐานซอง DHL ดังกล่าวเก็บอยู่ที่นายพิษณุ)
3.นายปริญญา รักวาทิน หรือเสธเจี๊ยบ อย่างไรก็ดีเพื่อความมั่นใจว่าเรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผมโทร.ทางไกลมาปรึกษากับนายปริญญา หรือเสธเจี๊ยบ ซึ่งเป็นกรรมการ ผู้จัดการ บ เรือด่วนเจ้าพระยาฯ (ทางทนายพิษณุเคยแนะนำให้รู้จัก) และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับเสธคนดัง ว่าสามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้หรือไม่ ซึ่งนายปริญญาก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าสามารถทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้านก็เป็นจำนวนมากพอที่น่าจะทำให้นายบัณฑิตยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลาง นายบัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบไร้เหตุผล
4.กระผมไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 23 มิถุนายน ทางนายปริญญาหรือเสธ.เจี๊ยบแจ้งว่าผู้ใหญเรียกค่าดำเนินการ 30 ล้าน กระผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้าน ส่วนอีก 25 จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือต้องให้คู่เจรจาคือนายบัณฑิตยอมความโดยสมัครใจหรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านนี้ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่าเสธเจี๊ยบจะไปเชิญเสธคนดังซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในวันที่ 23 มิถุนายนว่านายปริญญาไปว่าจ้างสามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชามากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้นายบัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง
5.หลังเกิดเหตุดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่านายบัณฑิตไม่พอใจอย่างมาก นายบัณทิตจึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้าน กระผมเรียนตรงๆ ว่าขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงแจ้งว่ายินดีจะจบที่ 120 ล้าน โดยจ่ายทันที 80 ล้าน และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้าน นายบัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน สำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคนคือ นาย วิชานนท์ วิมลสังข์ และนายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสโดยเดินทางกลับกรุงเทพฯ ประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม
6.ต่อมานายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านกับผมอีก ผมตอบไปว่านายปริญญาไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้วยังจะมาขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญาเพียงตอบสั้นๆ ว่าอยากมีเรื่องกับ (หมายถึงสามพี่น้องฯ) หรือ ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
7.ตำรวจ สน.วัดพระยาไกรปิดบังหลักฐานและจงใจให้กระผมตกเป็นเหยื่อ พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกรที่รู้จักกับนายปริญญา ชื่อผู้กอง.... ได้ติดต่อผ่านทนายพิษณุให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ กระผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้มีบันทึกข้อความการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อสารวัตร.... ถามผมว่ารู้จัก "เจี๊ยบ" หรือไม่ ผมเห็นว่าทั้งทนาย และพนักงานสอบสวนคือผู้กอง.... ที่ร่วมสอบสวนอยู่ด้วยเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงรู้สึกไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ยืนยันว่าจะกลับมาให้การเพิ่ม จนวันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน) ผมโทรศัพท์หาสารวัตร.... เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และนำหลักฐานต่างๆ ไปส่ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่าเจี๊ยบคือใครไม่ต้องมาหรอก
กระผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้ (ทั้งๆ ที่ทางตำรวจก็มีเอกสารสำเนาการยอมความที่ศาลข้างต้นทั้งสองชุดเป็นหลักฐาน) กระผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำ จึงมีความจำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศมาตั้งหลัก เพื่อทำหนังสือฉบับนี้ เพื่อแถลงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนได้รับทราบในสิ่งที่เกิดขึ้น กระผมจึงใคร่ขอเรียนแจ้งให้ทราบจากปากคำของกระผมเอง และขอขอบพระคุณท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำเสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการ อยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า ขอแสดงความนับถือ นายนพพร ศุภพิพัฒน์
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังนายนพพรส่งหนังสือชี้แจงถึงสื่อมวลชนว่า จดหมายที่นายนพพรชี้แจงนั้นตรวจสอบพบว่าประเด็นที่พูดถึงขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ไม่ว่าเรื่องหนี้ 17 ล้าน ที่นาย นพพรระบุว่าประนอมหนี้ที่ศาลเรียบร้อยแล้ว หากใช้หนี้แล้วและหุ้นส่วนบางรายยอมความ มีเพียงนายบัณฑิตคนเดียวที่ไม่ยอมความ เหตุใดถึงไม่ให้ศาลดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ดูแล้วคดีประนอมหนี้จ่ายเงินชดใช้จริง นายนพพรมีสิทธิ์ชนะคดีแต่ทำไมต้องให้นายปริญญาเป็นผู้จัดการเรื่องหนี้สิน
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวต่อว่า ประเด็นต่อมาเรื่องที่นายนพพรบอกว่าจ่ายเงิน 5 ล้านให้นายปริญญา เป็นค่าเจราจาให้ผู้ใหญ่เข้าประนอมหนี้กับนายบัณฑิต จากข้อมูลพบว่านายนพพร กับนายปริญญาไม่สนิทสนมกันมาก่อนเหตุใดไม่ถามนายปริญญาให้ดีว่าคนกลางที่เจรจาเป็นใคร ทำไมถึงกล้าโอนเงินมากมายขนาดนี้ ดูแล้วมีความผิดปกติ ส่วนกรณีตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ที่นายนพพรอ้างว่าผู้กองรู้จักกับนายปริญญา ตนมองว่าไม่น่าเป็นไปได้เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ ไม่มีใครผ่อนปรนได้ เป็นคำพูดลอยๆ อยากให้นายนพพรมามอบตัวโดยเร็วที่สุด พร้อมแสดงหลักฐาน จะให้ความเป็นธรรม และจะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย
พล.ต.ท.ประวุฒิ ยังกล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบทราบว่าวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา นายนพพรเดินทางมาที่ สน.วัดพระยาไกรพร้อมทนายความ เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน รวมทั้งเรื่องหนี้สินของนายบัณฑิต วันนั้นนายนพพรไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก รวมทั้งไม่ยอมเปิดเผยว่ารู้จักกับนายปริญญา หรือเจี๊ยบ จนวันรุ่งขึ้นมีข่าวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีอุ้ม จึงโทรศัพท์เข้ามาที่ สน.วัดพระยาไกร โดยพูดสายกับผู้กองว่าจะนำหลักฐานมาให้ แต่ผู้กองให้นายนพพรประสานไปยังสารวัตร ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้นัดหมายเวลาแน่ชัด ไม่ได้บ่ายเบี่ยงตามที่กล่าวอ้าง
วันเดียวกัน ที่ สน.วัดพระยาไกร พ.ต.อ. เกียรติณรงค์ เฉลิมสุข ผกก.สน.วัดพระยาไกร เปิดเผยว่า หลังจากน.ท.ปริญญามามอบตัวที่บช.น. ได้สอบปากคำพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว จากนั้นนำตัวมาควบคุมไว้ที่ สน.วัดพระยาไกร โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดและตรวจดูกล้องวงจรปิดตลอด 24 ช.ม. เพื่อป้องกันการทำร้ายตัวเอง ซึ่งพบว่ามีภาวะค่อนข้างเครียด และยังไม่มีใครมาติดต่อขอเยี่ยม โดยช่วงเช้าวันที่ 8 ธ.ค.นี้จะควบคุมตัวไปฝากขังที่ศาลทหารต่อไป
พ.ต.อ.เกียรติณรงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายนพพรระบุว่าตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ปิดบังหลักฐานและระบุให้ตกเป็นเหยื่อนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เคยเชิญตัวมาให้ข้อมูล 1 ครั้งโดยไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ คดีนี้ไม่มีบิดเบือนแน่นอน การแจ้งข้อหาจะต้องมีหลักฐานชัดเจน จนขออนุมัติหมายจับศาลทหารได้ หากต้องการแสดงความบริสุทธิ์ให้ติดต่อมอบตัวมายังตำรวจทันที คดีนี้มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนโดยมี พล.ต.ต.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 ฐานะรองหัวหน้าดูแลชุดดูแลรับผิดชอบ