WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ก.มหาดไทย ร่วมกับ คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ดึงโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หนุนเศรษฐกิจชายแดนภาคใต้ นำร่องโครงการ
โดย CP Group / วันที่โพสต์ 14 ก.ย. 2559 

14 กันยายน 2559 – กระทรวงมหาดไทย  ร่วมกับ คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ  สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ   มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท และศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา จัดโครงการ “ลองกองผลไม้ดีชายแดนใต้” ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2559 จำหน่ายลองกองอร่อย คุณภาพดีจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส  และจังหวัดปัตตานี  เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบข้อดีของการบริโภคลองกอง ที่เป็นผลไม้ที่อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน  เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตลองกองของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพผลผลิตไปยังห้างค้าปลีกในเครือข่ายภาคีความร่วมมือ โดยผนึกกำลังร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ชั้นนำของประเทศไทย  รวมทั้งรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้เดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการบริโภคลองกอง สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถอุดหนุนผลผลิตลองกองของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จากร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศ  

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานภาครัฐ คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) เปิดเผยว่า “ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีหลายมิติ ความยากจนเป็นหนึ่งในมิติสำคัญ ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อย  มีฐานะยากจน ประสบปัญหาขายผลผลิตไม่ได้ราคา  สำหรับผลผลิตของเกษตรกรชาวใต้ที่กำลังทยอยออกสู่ตลาดได้แก่ ลองกอง ซึ่งมีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ ได้แก่ ชุมพร ยะลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี นราธิวาส และปัตตานี  รัฐบาลมีความห่วงใยและตระหนักต่อปัญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหา โดยใช้กลไกประชารัฐและแนวทางการมีวิสาหกิจเพื่อสังคมเข้าไปดูแลสร้างความยั่งยืน ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกับคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3)  ซึ่งถือเป็น 1 ใน 12 คณะภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐที่มุ่งเน้นการบูรณาการ
ทั้ง 5 ภาคส่วน  ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ  ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน มาทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือชุมชน ตั้งแต่ต้นทาง  กลางทาง และปลายทาง กล่าวคือ  การเข้ามาช่วยเหลือดูแลครบทั้ง 5 กระบวนการตามหลักการทำงานของคณะทำงานฯ  ได้แก่ 1. การเข้าถึงปัจจัยการผลิต จัดหาแหล่งน้ำ  แหล่งเงินทุน รวมทั้งพัฒนาพันธุ์  2. การให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูก  การดูแลพันธุ์  3. การตลาด ได้เข้ามาช่วยเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยการจับมือกับโมเดิร์นเทรดชั้นนำของประเทศไทย  4. การสร้างการรับรู้เพื่อความยั่งยืน ด้วยการทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบถึงฤดูผลผลิตของลองกอง ซึ่งจะมีมากในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ของทุกปี  รวมทั้งร่วมรณรงค์ให้ตลอดเดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการบริโภคลองกอง  5. การบริหารจัดการ  ทั้งเรื่องของการขนส่ง  การทำบรรจุภัณฑ์ การดูแลเก็บรักษาผลผลิตไม่ให้เน่าเสีย เป็นต้น  

นอกจากนี้ยังได้ประสานกับสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานตามแนวพระราชดำริ และมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท  แสวงหาความร่วมมือในการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดผลไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำร่องโครงการ“ลองกอง ผลไม้ดีชายแดนใต้” จากจังหวัดนราธิวาส  ปัตตานี และยะลา ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน จากการสานพลังประชารัฐทั้ง 5 ภาคส่วนเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน  โดยมีเป้าหมายสำคัญคือความมั่นคง ความสงบสุข  และการกินดี อยู่ดีของประชาชน   โดยโครงการนี้มีเกษตรกรผู้ปลูกลองกองจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้สมัครใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 6,000 ราย ถือเป็นกลุ่มเกษตรกรนำร่องกลุ่มแรกซึ่งจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการนำไปสู่การทำเกษตรรูปแบบใหม่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือทำการเกษตรแบบประณีต เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดีสามารถขายได้ตามกลไกตลาด โดยประชาชนที่สนใจสามารถอุดหนุนผลผลิตลองกองของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จากร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศไทย” 

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3)  เปิดเผยว่า “โครงการ “ลองกองผลไม้ดีชายแดนใต้” เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน และจากพลังประชารัฐเพื่อเป้าหมายสำคัญคือความมั่นคง ความสงบสุข  และการกินดี อยู่ดีของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการพัฒนาระบบตลาดที่ไม่กระทบกลไกตลาดเดิม แต่จะช่วยหนุนเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกลองกองสามารถกระจายผลผลิตได้ ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ประสานความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ในการเข้ามารับซื้อผลผลิตลองกองจากเกษตรกรใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเสริมให้เดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการบริโภคลองกองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยประชาชนที่สนใจสามารถอุดหนุนผลผลิตลองกองของพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จากร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศ”

ในการดำเนินโครงการลองกองผลไม้ดีชายแดนใต้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ รวมถึงองค์กร บริษัท และหน่วยงานต่าง ๆ ในการเป็นช่องทางการจำหน่ายลองกองจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้จำนวน 3,244 ตัน โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์รับไปทั้งสิ้น 1,000 ตันซึ่งจะนำไปจำหน่ายผ่านห้างแมคโคร จำนวน 750 ตัน และร้าน 7 อีเลฟเว่น จำนวน 250 ตัน เทสโก้โลตัส รับไปทั้งสิ้น 915 ตัน ท๊อปส์ในเครือเซ็นทรัลรับไป 450 ตัน  บิ๊กซีซึ่งเป็นของกลุ่มไทยเบฟเวอเรจรับไป 215 ตัน กูร์เมต์ มาร์เก็ต ในเครือเดอะมอลล์รับไป 50 ตัน  นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมจำหน่ายลองกองผลไม้ชายแดนใต้อีก ได้แก่ ไทยเบฟเวอเรจ รับไป 100 ตัน  สภาเกษตรกรฯ 200 ตัน  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 100 ตัน มูลนิธิปิดทองหลังพระ  75 ตัน   ไปรษณีย์ไทย 40 ตัน  สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย  30 ตัน  มหาวิทยาลัยบูรพา 20 ตัน และนายมีชัย วีระไวทยะ 3 ตัน

       นายณรงค์ วุ่นซิ้ว หัวหน้าคณะทำงานสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบของสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้  เปิดเผยว่า “การพัฒนาผลผลิตและการตลาดผลไม้โดยเฉพาะลองกองตามนโยบายประชารัฐในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการอย่างครบวงจรด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย  ตั้งแต่ต้นทาง คือ ส่งเสริมให้เกิดทำการเกษตรแบบประณีต เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตลองกองให้เป็นเกรด A และ B กลางทาง คือ ศูนย์คัดแยก และพ่อค้าคนกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจุดรวบรวมและคัดแยกผลผลิตลองกอง จนถึงปลายทาง คือ ผู้บริโภค โดยการหาช่องทางการขายเพื่อกระจายผลผลิตสู่ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด  ทั้งนี้เพื่อยกระดับฐานะความเป็นอยู่และส่งเสริมอาชีพ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนสอดคล้องกับเจตนารมย์ของสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ โดยปัจจุบันมีเกษตรกรผู้ปลูกลองกองเข้าร่วมโครงการ 5,960 รายจากจำนวนเกษตรกรทั้งหมด 71,891 รายซึ่งคิดเป็น 8% ของจำนวนเกษตรกร คิดเป็นผลผลิตทั้งสิ้น 3,244 ตัน  หรือประมาณ13% ของปริมาณผลผลิตลองกองทั้งหมดในจังหวัดชายแดนได้ โดยจังหวัดปัตตานีมีเกษตรกรเข้าร่วม 1,730 ราย ผลผลิต 693.24 ตัน จังหวัดยะลา 981 ราย ผลผลิต  551.70 ตัน และจังหวัดนราธิวาส  3,249 ราย ผลผลิต 1,998.79 ตัน”

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!