- Details
- Category: สภาหอการค้าไทย
- Published: Sunday, 21 November 2021 16:01
- Hits: 9956
สรุปการบรรยายเรื่อง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ 'ประเทศไทยกับการฟื้นตัวหลังโควิด-19'
โดย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564 เวลา 11.00-12.00 น. ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กรุงเทพมหานคร
ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย ไตรมาสที่ 3/2564 หดตัวร้อยละ - 0.3 ต่อปี จากการขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี ในไตรมาสที่ 2/2564 เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่องและกระจายตัวเป็นวงกว้าง ซึ่งกระทบต่อทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน ซึ่งในอดีตเราเคยพบปัญหาทางเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2540 วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจหดตัวติดต่อกันถึง 7 ไตรมาส
ในวิกฤตเศรษฐกิจ COVID-19 นี้ เป็นโรคระบาดที่กระทบต่อประชาชนโดยตรง มีผลกระทบในวงกว้างและประสบปัญหาพร้อมกันทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาการนำเข้า-ส่งออกสินค้าที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศส่งออก จึงได้รับผลกระทบอย่างมาก รวมถึงการนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ที่ทำให้ระบบการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต้องชะงัก ทำให้มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูของวิกฤตครั้งนี้มีรูปแบบที่แตกต่างจากในอดีต
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564-2565
เศรษฐกิจภาพรวมในช่วงท้ายของปี 2564 ทยอยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่ เศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 3.5-4.5 ต่อปี จากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศไทย การส่งออกขยายตัวได้ต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
การบริหารเศรษฐกิจมหภาค
ได้กำหนดแนวทางบริหารจัดการไว้ ดังนี้
- - การป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศให้อยู่ในวงจำกัด
- - การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบกลับมาฟื้นตัวได้
- - การรักษาแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการท่องเที่ยว
- - การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า
- - การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
- - การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
- - การติดตามและเฝ้าระวังความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศที่มีแนวโน้มจะสร้างแรงกดดันและส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการดูแลเสถียรภาพทางการเมือง
- การรับมือกับสถานการณ์ COVID-19
มาตรการการคลัง
การรับมือสถานการณ์ COVID-19 รัฐบาลได้ออก พรก.เงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1.5 ล้านล้านบาท โดยนำมาใช้ใน 2 มาตรการดังนี้
- มาตรการช่วยเหลือเยียวยา
1) โครงการเราไม่ทิ้งกัน
2) โครงการเยียวยาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
3) โครงการเราชนะ
4) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
5) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่กลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ
- มาตรการกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ
1) โครงการคนละครึ่ง 3 ระยะ จำนวน 4,500 บาท
2) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้
มาตรการทางภาษี
- การขยายระยะเวลาการยื่นแบบและการชำระภาษี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ
- เร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ผู้ประกอบการส่งออกโดยเร็วที่สุด
- ลดภาระภาษีและเพิ่มสภาพคล่องของผู้ประกอบการ เช่น ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายประเมินผ่านระบบ e-Withholding ลดค่าธรรมเนียม ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
- สร้างแรงจูงใจให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ ในการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดจากผลกระทบของ COVID-19
มาตรการการเงิน
- การเสริมสภาพคล่อง โดย
- สินเชื่อฟื้นฟู ธปท.สนับสนุนเงินทุนให้แก่สถาบันการเงินและสถาบันการเงินให้สินเชื่อใหม่แก่ผู้ประกอบการ ดอกเบี้ย 2% 2ปี แรก โดยมี บสย.ค้ำประกัน
- สินเชื่อผ่าน SFls โดยมีหลักเกณฑ์เงื่อนไขผ่อนปรนและคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อปกติ
- ค้ำประกันสินเชื่อ ผ่าน บสย. เพื่อช่วย SMEs ให้เข้าถึงสินเชื่อได้ จากมาตรการเสริมสภาพคล่อง พบว่า SMEs ยังไม่สามารถเข้าถึงได้เท่าที่ควร จึงต้องอาศัยกลไกจากภาคเอกชน คณะกรรมการกกร. เข้ามาร่วมผลักดันแก้ไขให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากยิ่งขึ้น
- - พักหนี้ธนาคารพาณิชย์ และ SFIs พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ให้กับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด
- - ลดภาระหนี้ มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาว และปรับวิธีคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ
- - เพิ่มช่องทางช่วยเหลือลูกหนี้ โครงการหมอหนี้ประชาชน เป็นช่องทางแนะนำและให้คำปรึกษา แก้ไขหนี้ให้กับผู้ประกอบการ เปรียบเทียบนโยบายการคลังเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงของ COVID-19 ประเทศไทยใช้นโยบายการคลังและนโยบายกึ่งการคลังต่อ GDP ใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และทั่วโลก ยกเว้น ญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับความท้าทายในอนาคต
การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจต้องตอบโจทย์ความท้าทาย 7 ประการ เพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวที่มั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ดังนี้
- - กับดักรายได้ปานกลาง โดยสนับสนุนอุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ มุ่งสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และยกระดับเกษตรมูลค่าสูง
- - ขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบภาครัฐ และส่งเสริมการวิจัยและการพัฒนา
- - การเติบโตที่ไม่สมดุล โดยส่งเสริมการจ้างงาน ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ SMEs และกระจายความเจริญไปยังเมืองรอง และความหลากหลายของประเภทธุรกิจ
- - ความยากจนเรื้อรัง/ความเหลื่อมล้ำ โดยเสริมความแข็งแกร่งพื้นฐานให้ครัวเรือน สร้างโอกาสในการหารายได้และเพิ่มความก้าวหน้าในอาชีพ
- - สังคมผู้สูงอายุ โดยเร่งดำเนินการ Reskill-Upskill ทักษะแรงงาน ขยายและพัฒนาความคุ้มครองทางสังคม
- - การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ โดยส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานทดแทน BCG Model ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม
- ภาระทางการคลัง โดยยกร่างแผนการจัดเก็บรายได้รัฐบาล งบประมาณสมดุล อีกประเด็นที่สำคัญ คือส่งเสริมวินัยการออม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบันมีความเข้มแข็ง อาทิ Non- bank สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้าน และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชุมชนที่มีความเข้มแข็ง โดยมีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุนในบริหารจัดการในภาคการเงิน
ในปี 2565 ประเทศไทยมีแนวทางในการเก็บภาษีสำหรับ e-Commerce ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีการจัดเก็บภาษีในประเภทนี้มาก่อน ในขณะที่ต่างประเทศ ได้มีการหารือแนวทางในการดำเนินการเรียกเก็บภาษี e-Commerce ตัวอย่างเช่น การเก็บภาษีบริษัทที่ไม่มีสถานประกอบการอย่างเป็นทางการในประเทศ จะสร้างรายได้ทางภาษีให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก โดยขอให้ภาคเอกชนและ SMEs ร่วมพัฒนาและเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจสูงสุด
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ