- Details
- Category: สภาอุตสาหกรรม
- Published: Sunday, 17 September 2023 15:56
- Hits: 4030
กกร. เผย ศก. ไทยอ่อนแรงลงที่ 2.5 ถึง 3.0% แนะ รบ. ลดภาระค่าไฟ-น้ำมัน
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เป็นประธานร่วมในการแถลงข่าว ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
- เ ศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ในเดือนสิงหาคมของประเทศหลักยังหดตัว ขณะที่กิจกรรมเศรษฐกิจในภาคบริการอ่อนแรงลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ จุดเปราะบางสำคัญคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และกำลังซื้อที่หดตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 5% เท่านั้นและมีแนวโน้มจะลดลงในปีหน้า เศรษฐกิจโลกจึงได้รับแรงกดดันและส่งผลให้ภาคการส่งออกของไทยยังมีอุปสรรคในการฟื้นตัว
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตได้ที่ 2.5-3.0% ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิม โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 2 เติบโตเพียง 1.8% ต่ำกว่าประมาณการที่ 3.1% อย่างมาก โดยภาคเศรษฐกิจที่อ่อนแรงได้แก่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่มีการหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับมูลค่าการส่งออกที่ติดลบต่อเนื่องมา 10 เดือน และติดลบแทบทุกหมวด อีกทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวต่อเนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่มีแนวโน้มล่าช้า นอกจากนี้ รายได้จากการท่องเที่ยวยังต่ำกว่าที่คาดเนื่องจากการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปกติอยู่ราว 13% และค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปของคนไทยในการเที่ยวในประเทศต่ำกว่าปกติราว 33%
- รัฐควรมีมาตรการเพื่อเร่งขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังสามารถเติบโตได้ระดับ 3.0% การเร่งรัดมาตรการด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ประกาศไว้จึงมีความจำเป็น ได้แก่ การลดภาระรายจ่ายค่าไฟและราคาน้ำมัน การผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณามาตรการเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตได้ ขณะที่เร่งจัดทำมาตรการเพื่อเสริมสร้างรายได้ ให้กับ SMEs และครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาภาระหนี้ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.
(ณ ก.ค. 66) ปี 2566
GDP 3.0 ถึง 3.5
ส่งออก -2.0 ถึง 0.0
เงินเฟ้อ 2.2 ถึง 2.7
(ณ ส.ค. 66) ปี 2566
GDP 3.0 ถึง 3.5
ส่งออก -2.0 ถึง 0.0
เงินเฟ้อ 2.2 ถึง 2.7
(ณ ก.ย. 66) ปี 2566
GDP 2.5 ถึง 3.0
ส่งออก -2.0 ถึง -0.5
เงินเฟ้อ 1.7 ถึง 2.2
- ที่ประชุม กกร. มีความกังวลกับสถานการณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศที่ส่งผลให้การส่งออกของไทยชะลอตัว ประกอบกับสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามาแข่งขันด้านราคาในตลาดไทย ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเบื้องต้นมี 20 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่มียอดขายลดลง และหากไม่มีมาตรการกำกับดูแลสินค้านำเข้าดังกล่าว ผลกระทบอาจจะขยายวงกว้างไปมากกว่านี้
ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการตรวจจับสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานโดยผ่านกลไกจากทั้ง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกรมศุลกากร โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ในขณะเดียวกันควรต้องมีการสนับสนุนผู้ส่งออก อำนวยความสะดวกให้พิธีการศุลกากรมีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น
- การท่องเที่ยวยังเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่เหลือ ที่ประชุม กกร. มองว่า การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน มีจำนวนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงเสนอให้มีการเร่งรัดและออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตรการ ฟรีวีซ่าโดยเร็ว รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าประเทศอย่างปลอดภัย
- ที่ประชุม กกร. มีความเห็นว่าด้วยดอกเบี้ยในปัจจุบันปรับขึ้นมาต่อเนื่องและอยู่ที่ระดับ2.25% ซึ่งเป็นระดับสมดุลแล้ว เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องทำให้แรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ และสถาบันการเงินได้ชะลอการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ อีกทั้งกลไกตลาดเงินได้ปรับตัวแล้ว สะท้อนจากการแข่งขันในการระดมสภาพคล่องที่เข้มข้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้นส่วนหนึ่งจากเงินถูกไหลไปสู่การลงทุนทางเลือก