- Details
- Category: สภาอุตสาหกรรม
- Published: Wednesday, 05 November 2014 23:13
- Hits: 4196
กกร.ลุ้นสิ้นปีจีดีพีโต 1.5%นักวิชาการแนะรัฐคงดอกลากยาวถึงกลางปีหน้า
บ้านเมือง : กกร.คาดจีดีพีปีนี้โต 1-1.5% ระบุมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคในประเทศ หวังเงินช่วยชาวนา-สวนยางจะกระตุ้น ศก.ท้ายปี ขณะที่นิด้าแนะ กนง.คงดอกเบี้ยยาวถึงกลางปี 58 หนุนการลงทุนดัน ศก.ขยายตัว
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) คาดว่าจีดีพีปีนี้จะเติบโต 1-1.5% โดยมีแรงขับเคลื่อนมาจากการบริโภคในประเทศ และการใช้จ่ายภาครัฐที่รัฐบาลจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้จีดีพีเป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับช่วงครึ่งปีหลังการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาดีขึ้น จะยิ่งเป็นตัวช่วยทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยดีขึ้น
"การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้น และหวังว่าการใช้จ่ายภาครัฐจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วงที่เหลือของปีหากมีการใช้จ่ายภาครัฐและการท่องเที่ยวจะทำให้จีดีพีโต 1-1.5%" นายอิสระ กล่าว
นายอิสระ กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการต่อการที่องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือไอแอลโอ จะลงนามสัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลไทย พบว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่ให้รัฐบาลลงนามรับสัตยาบันดังกล่าว เนื่องจากห่วงเรื่องความมั่นคงของประเทศ และประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทย ที่ประชุมเห็นว่าเศรษฐกิจบางส่วนเริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย จากปัจจัยบวกการบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังคงทรงตัว รัฐต้องหามาตรการจูงใจให้เอกชนลงทุน การส่งออกยังเปราะบางโดยเฉพาะมีปัญหาเงินบาทอ่อนค่าลงน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยจำเป็นต้องลดราคาแข่งขัน ขณะที่การส่งออกรถยนต์ลดลงมาก มีสาเหตุมาจากโรดระบาด อีโบลาและความไม่สงบในตะวันออกกลาง และการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างช้า
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยเร่งเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือต้นทุนเกษตรกรทั้งชาวนาและชาวสวนยางพารา วงเงิน 48,000 ล้านบาท หากเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ และเร่งลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายโครงการลงทุนที่มีวงเงินสูงกว่า 1,000 ล้านบาทได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตลอดปีนี้ขยายตัวได้ 1-1.5% ส่วนปีหน้ายังไม่ได้ประมาณการ
นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต (MPA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตลดลงจากภาคการส่งออกที่ชะลอตัวลง โดยในไตรมาส 1 เศรษฐกิจไทย(นิด้า) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตลดลงจากภาคการส่งออกที่ชะลอตัวลง โดยในไตรมาส 1 เศรษฐกิจไทยหดตัวประมาณ 0.5% ก่อนขยับเป็นบวกประมาณ 0.4% ในไตรมาส 2 ขณะเดียวกันการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวไปพร้อมๆ กัน เป็นผลให้ภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมเติมโตต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 0.5-3% จึงไม่จำเป็นที่ต้องใช้นโยบายการเงินเข้ามากำกับเงินเฟ้อเท่าใดนัก โดยพบว่าเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.67% ขณะเดียวกัน การดำเนินมาตรฐาน QE ของประเทศญี่ปุ่นที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเป็น 80 ล้านล้านเยนต่อปีนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณมากนัก เนื่องจากความต้องการเงินเยนในตลาดเงินระหว่างประเทศมีไม่มากนัก ดังนั้นมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงด้วยนโยบายการเงินโดยคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยควรไว้ที่ 2.0% ต่อเนื่องถึงกลางปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวหลังจากลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ Korea Financial Investment Association ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุนทั้ง 2 ประเทศ โดยระบุถึงการออกมาตรการคิวอีของญี่ปุ่นว่า ตลท.ยังไม่มีความจำเป็นต้องเตรียมมาตรการรองรับใดๆ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวของญี่ปุ่น ยังไม่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ เพราะนักลงทุนญี่ปุ่นจะเน้นลงทุนในประเทศมากกว่า ขณะที่ปริมาณนักลงทุนญี่ปุ่นในตลาดไทยก็มีสัดส่วนน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์เตรียมที่จะออกไปโรดโชว์ในประเทศญี่ปุ่นในปีหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงจะมีการประเมินสถานการณ์การลงทุนในญี่ปุ่นที่มีผลต่อตลาดทุนไทยอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร โดยเบื้องต้นมองว่าหากจะมีผลกระทบใดๆ ก็คงจะเกิดในปีหน้ามากกว่า สำหรับส่วนที่เหลือของปี 2557 ตลาดหลักทรัพย์จะโรดโชว์ในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่อไป