WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

CBธนวรรธน พลวชย copy copyม.หอการค้า ลุ้นจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ถึง 5% หากเลือกตั้งตามโรดแมพ-ท่องเที่ยว-ส่งออกฟื้นตัวดี

 ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีเชื่อมั่นธ.ค.ปรับดีขึ้น 5 เดือนติดต่อกัน โดยดัชนีอยู่ที่ 79.2 จาก 78 ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่จีดีพี ปี 61 มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 5% จากการท่องเที่ยว ส่งออกฟื้นตัวดี เม็ดเงินจากโครงการภาครัฐผ่านมาตรการช่วยคนจน เฟส 2 ด้านเงินบาท มองที่ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ ยังเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย

     นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อยู่ที่ 79.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 78 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากผู้บริโภคหวังว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะปรับดีขึ้น ตามการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีในครึ่งปีหลัง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับผู้บริโภคส่วนใหญ่คลายกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ซึ่งมองว่า ในอนาคตน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น

       ด้านดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66.2 จากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 65.2 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่สูงมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน

     “เป็นสัญญาณในเชิงบวกที่ดี โดยคนมั่นใจในเรื่องการส่งออก ท่องเที่ยว มาตรการของภาครัฐ โดยเฉพาะช้อปช่วยชาติ การลดราคาสินค้า และมีข่าวเชิงบวกเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การดูแลผู้มีรายได้น้อยเฟส 2 ทำให้ความหวังของคนฐานรากดีขึ้น ซึ่งทำให้มองว่า เศรษฐกิจมีทิศทางที่ดี ขณะเดียวกันคนอยู่ในฐานรากก็ยังมีปัญหาเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำด้วย โดยทำให้ภาคตัวเศรษฐกิจฐานรากกำลังซื้ออาจยังไม่โดดเด่น”นายธนวรรธน์

      นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ศูนย์วิจัยฯยังคงกรอบที่ 4.2-4.5% แต่มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 5% โดยมีปัจจัยบวกประกอบด้วย การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 5% การท่องเที่ยวที่จะมีนักท่องเที่ยวถึง 37 ล้านคน ขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป

     นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นและการจับจ่ายใช้สอยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการภาครัฐผ่านสวัสดิการต่างๆ 5-6 หมื่นล้านบาท และมาตรการช่วยคนจนเฟส 2 ผ่านการอบรม ฝึกอาชีพที่จะมีเงินสะพัดถึง 100,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเม็ดเงินจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ที่จะมีเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่ารวมในปี 2561 จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 500,000-700,000 ล้านบาท หรือมีผลต่อจีดีพี 2-3%

      สำหรับ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ 4% และครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ 4-4.2% และในช่วงครึ่งปีหลังขยายตัวได้ 4.8-5% เฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 4.2-4.5%

       ด้านค่าเงินบาทในช่วงครึ่งปีแรกค่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่าอยู่ในกรอบ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์ แต่ทั้งนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นยังเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลในภูมิภาค โดยเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. จะติดตามดูแลค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสม และภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ ซึ่งมองว่า ค่าเงินบาทที่ 33 บาท ยังเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และผู้ประกอบการแข่งขันได้

     “ในปีนี้ ปัจจัยที่จับตามองที่สำคัญ คือ เรื่องของการเลือกตั้ง หากทุกอย่างเป็นไปตามโรดแมพ ปีนี้มีการเลือกตั้งในท้องถิ่น ก็จะสร้างความเชื่อมั่ยให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก ทำให้ภาคเอกชนจะเริ่มลงทุนแน่นอน ขณะที่กระแสข่าวเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงนั้น หากมีการปรับขึ้น 3-5% หรือ 10-15 บาทนั้น จะทำให้มีเงินสะพัดได้ 20,000-30,000 ล้านบาททั้งปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้มองว่า จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นและเข้าอยู่ในกรอบของธปท. โดยหอการค้ามองว่า เงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ที่ 1.5% จากราคาน้ำมันที่เริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมองว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 60-65 ดอลลาร์ต่อบาเรล” นายธนวรรธน์ กล่าว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

 

พยากรณ์เศรษฐกิจปีจอส่องดาวรุ่งดาวร่วง

    ไทยโพสต์ : เปิดโพลดาวรุ่ง-ดาวร่วง และเทรนด์ระดับโลก

       เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2561 ตรงกับปีนักษัตรจอ ผู้ประกอบการคงวางแผนธุรกิจกันมาตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อหวังให้กิจการค้าขายก้าวหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นขนาดกลาง ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ก็หวังว่าในปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัว และมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปี 2560 เหน็ดเหนื่อยกับปัญหาหลายด้าน ทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยี ก็ยากหากไม่มีประสบการณ์นำทางอย่างถูกต้อง

 

ส่องดวงปีจอ

        นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดัง เปิดเผยว่า จากช่วงที่ผ่านมาก็พอที่จะมองเห็นแล้วว่าในการเปิดเสรีทางการค้าในประเทศอาเซียน ก็ใช่ว่าจะส่งเสริมให้เกิดผลดีในทุกด้านได้ดั่งที่คาดการณ์ ด้านที่เป็นผลเสียก็มีมากมายหลายๆ ด้านเช่นเดียวกัน ก็อยู่ที่ใครจะสามารถมองเห็นช่องทางในการที่จะดำเนินธุรกิจหรือสามารถที่จะฉกฉวยโอกาสและแสวงหาผลประโยชน์มาให้กับองค์กร หรือตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใด

       สำหรับ สภาวการณ์โดยทั่วไปในปีนี้ที่เป็นปีนักษัตรจอธาตุดินนั้น ก็จะสามารถมองเห็นภาพรวมภายนอกว่าเป็นช่วงปีที่เริ่มจะมีความสงบนิ่ง มีความมั่นคงมากขึ้นกว่าเดิมในหลายๆ ด้าน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังมีการไม่ยอมรับ ไม่ว่าจากฝ่ายที่ต้องมีทางสูญเสียอำนาจและสูญสิ้นผลประโยชน์จากที่เคยได้รับ ก็ยังมีการรวมพลังที่เป็นเสมือนหนึ่งคลื่นใต้น้ำ ที่แฝงตัวอยู่ในความสงบนิ่ง  เพื่อรอวันที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้

     อีกส่วนหนึ่งก็จะมีความสงบนิ่งที่เกิดจากการที่หลายๆ คน หลายๆ ฝ่ายที่ต้องการพักผ่อน หลังจากที่ต้องมีความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา ที่มีทั้งประสบความสำเร็จ สมหวัง ก็จะมีการชะลอตัวไว้ก่อนเพื่อการปรับปรุงพัฒนาองค์กรหรือปรับกลยุทธ์ในการวางแผนทางการตลาดใหม่ เพื่อก้าวต่อไปเพื่อที่จะต่อสู้ในตลาดสากลให้มากยิ่งขึ้น ส่วนบางฝ่ายที่ประสบกับปัญหา หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการดำเนินการ ก็จะเริ่มเบรกหยุดกิจการหรือหยุดพัก เพื่อถอยออกมามองถึงจุดอ่อน จุดบกพร่อง หรือมองหารอยรั่วเพื่อหาทางซ่อมแซมแก้ไข แล้วเริ่มลุยดำเนินการใหม่

       ในปี พ.ศ.2561 นี้ ก็จะเป็นช่วงที่ทุกคนทุกฝ่ายที่ดำเนินธุรกิจหรือทำงานส่วนตัวอยู่ ก็มักจะหันกลับมามองถึงผลดีผลเสีย จุดแข็งจุดอ่อน ของการดำเนินการว่าจะลุยเดี่ยวหรือรวมกลุ่ม แบบไหนจะดีหรือด้อยกว่ากันเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงในอนาคต จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทำให้ทุกคนทุกฝ่ายในสังคมไทยหันกลับมามองถึง

     สัจธรรมความเป็นจริงของชีวิตที่ว่ารวมกันเราอยู่  ถ้าแก่งแย่งกันจะตายหมู่ คือแต่ละคน แต่ละฝ่ายจะทยอยล้มหายตายจากวงจรธุรกิจการค้า หรือจากสังคมไปจนหมดสิ้น ไม่มีใครเหลืออยู่เลย จึงควรที่จะต้องมีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกัน ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน ถึงจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน ในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันสูงมาก ไม่ว่าจากคนภายในหรือจากนักธุรกิจภายนอกประเทศที่โหมกระหน่ำเข้ามา

ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง

       เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ 10 ธุรกิจดาวรุ่งปี 2561 โดยธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์การให้บริการ Internet และเครือข่าย เป็นธุรกิจเด่นอันดับ 1 จากนโยบายส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตของรัฐบาล

       มาดูกันว่า 10 อันดับธุรกิจเด่น ปี 2561 มีอะไรกันบ้าง อันดับ 1 คือธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร และอุปกรณ์การให้บริการ Internet และเครือข่าย ซึ่งเป็นผลจากนโยบายส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตในระดับตำบลและชุมชน เป็นต้น 2.ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม 3.ธุรกิจ e-commerce 4.ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว 5.ธุรกิจด้านปิโตรเคมีและพลาสติก ธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ 6.ธุรกิจ Modern Trade ธุรกิจด้านการเงิน อาหารและเครื่องดื่ม 7.ธุรกิจ ขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ 8.ธุรกิจด้านการศึกษา การท่องเที่ยว 9.ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต อสังหาริมทรัพย์ บ้านเช่า ห้องเช่า ธุรกิจด้านโหราศาสตร์ เครื่องราง ของขลัง และ 10.ธุรกิจวัสดุก่อสร้างรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจเสริมสวยแนวแฟชั่น

      จะเห็นได้ว่า ทั้ง 10 ธุรกิจเกิดจากปัจจัยสนับสนุนที่มาจากภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นเกินกว่า 4% การลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงกำลังซื้อของประชาชนฐานรากเพิ่มขึ้น ตามสวัสดิการแห่งรัฐและการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลัก

      ส่วน 10 อันดับธุรกิจดาวร่วงปี 2561 ประกอบด้วย 1.ธุรกิจ หัตถกรรม 2.ธุรกิจการผลิตเหมืองแร่ 3.ธุรกิจสิ่งพิมพ์นิตยสารและ วารสาร ธุรกิจเช่าหนังสือ 4.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องเล่น DVD CD 5.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่น DVD CD 6.ธุรกิจเคเบิล ทีวี 7.ธุรกิจผลิตสินค้าเกษตร ยาง ปาล์ม ข้าว 8.ธุรกิจร้านขาย มือถือมือสอง 9.ร้านค้าแบบดังเดิม และ 10 ธุรกิจอินเทอร์เน็ต

      จากข้อมูลข้างต้น พบว่าธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและอุปกรณ์ ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม ธุรกิจ e-Commerce ยังคงเป็นธุรกิจเด่นมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงธุรกิจด้านความสวยความงาม อาทิ เครื่องสำอางและครีมทาผิว และธุรกิจร้านเสริมสวย ตัดผมแนวแฟชั่น

     หากลองมาพิจารณาให้ละเอียดจะพบว่า ประเทศไทยเหมือนเป็นช่วงปรับตัวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเพิ่งจะแสดงผลออกมาให้เห็นธุรกิจเดิมๆ เริ่มถูก Disrupt หรือถูกทดแทนจนกลายเป็นดาวร่วงไป เช่น ธุรกิจหัตถกรรม หากไม่มีนวัตกรรม ธุรกิจการผลิตเหมืองแร่ ธุรกิจนิตยสารและวารสาร รวมถึงการเช่าหนังสือ นอกจากนี้ ธุรกิจที่เคยเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อ 5-6 ปีก่อนก็หายไป เช่น ธุรกิจเคเบิลทีวี ร้านขายโทรศัพท์มือสองและร้านอินเทอร์เน็ต

มุมมองนักการตลาด

       ในมุมมองของนักการตลาด "วีรพล สวรรค์พิทักษ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด กล่าวว่า นักธุรกิจและนักวิชาการที่ศึกษาข้อมูลอยู่เสมอ คงไม่ค่อยแปลกใจหรือตื่นเต้นกับผลสำรวจข้างต้น เพราะเป็นเรื่องที่คาดหมายกันได้อยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือธุรกิจดาวรุ่งในระดับโลกต่างหาก เพราะไปไกลกว่าบ้านเราเยอะมาก จากรายงานของ Forbes เรื่อง The Top 10 Business Trends that will drive success in 2018 พบว่า "ความล้ำ" ต่างกับของเรามาก แนวโน้มแรกที่เขาพูดถึงคือเรื่อง AI หรือ Artificial Intelligence ที่จะมาสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า

      ตอนนี้ยังไม่เห็นใน 10 ดาวรุ่งของไทยจะเอามาใช้กันตรงไหน อย่าง E-commerce ที่บอกว่าจะเติบโตกันมาก ต่างประเทศก็ให้ความสำคัญกับ A-commerce หรือ Automated commerce กันแล้ว เพราะเป็นระบบการซื้อขายด้วยระบบอัตโนมัติ ทั้ง KFC, Alibaba, Amazon, Taobao หรือ Hypercity ของอินเดีย ก็เริ่มทดลองใช้กันแล้ว หรือแม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยต่อไป รปภ.ก็จะหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วย Security Drone และกล้องวงจรปิดที่มี AI คอยควบคุม

       อีกแนวโน้มคือเรื่องของการใช้ Social media ให้เป็นประโยชน์ เรายังเจอแต่นักเลงคีย์บอร์ด เจอการค้าแบบพรีออเดอร์ เจอการขายครีมหน้าขาวในโซเชียลฯ แต่ในรูปแบบธุรกิจต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์น้อย ใช้เพียงการติดต่อ พูดคุย และวิจารณ์กันมากกว่า อย่างแนวโน้มการ Live Streaming ก็จะมาแรงในปีหน้า ซึ่งธุรกิจต้องเริ่มวางแผนว่าจะ Live อะไรที่ลูกค้าอยากชม จะผลิตคลิปวิดีโออย่างไรที่จะได้รับความสนใจ

      ขณะเดียวกัน ธุรกิจที่เป็นไปตามสภาพสังคม สภาพประชากรศาสตร์ น่าจะเติบโตได้ดี ในที่นี้กำลังหมายถึงสังคมผู้สูงอายุ คนสูงวัย 10.5 ล้านคน แต่ยังมีชีวิตอยู่ คนเหล่านี้จะใช้ชีวิตอย่างไร บริโภคอะไร อันนี้คือเทรนด์ดาวรุ่งที่แท้จริง โดยผู้สูงวัยเหล่านี้ต้องดูแลสุขภาพ ต้องพบแพทย์ ต้องออกกำลังกาย ต้องการที่อยู่ที่เหมาะสมกับวัย ต้องการสังคม และต้องการความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ มองแนวโน้มว่าจะเป็นธุรกิจที่เติบโตแน่นอน เพราะโตตามการเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์

      อีกกลุ่มที่ต้องจับตามองคือกลุ่ม Milleniums หรือวัยรุ่นที่ตอนนี้ไม่เด็กอีกต่อไป ซึ่งจะเริ่มทำงาน เริ่มมีรายได้ และหลายคนเป็นผู้บริหารระดับต้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีกำลังซื้อสูง ธุรกิจต้องศึกษาไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ด้วย ต้องดูเทคโนโลยีที่พวกเขาใช้ อุปกรณ์ IoT ต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การใช้ชีวิตที่รวดเร็วแต่มีประสิทธิภาพสูงของพวกเขาทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆ ได้มากมาย อาทิ Grab, You drink I drive, Line man และ Mobile banking นอกจากนี้ สำหรับธุรกิจยังต้องศึกษาถึงการเข้ามาทำงานในองค์กรของกลุ่ม  Milleniums นี้ด้วย

       "ในปีหน้าจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศไทยชัดเจนขึ้น ภาครัฐกลับมาลงทุนมากขึ้น ภาคธุรกิจก็ปรับตัวกันได้แล้ว แนวโน้มธุรกิจน่าจะสดใส อยู่ที่ใครจะมองหาเทรนด์ใหม่ๆ และปรับตัวได้เร็วกว่ากัน เพราะยุคนี้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป แต่เติบโตแบบ exponential ที่มีอัตราเร่งสูง ใครปรับตัวช้าไม่ใช่อยู่ไม่ได้ แต่จะหายไปจากตลาดอย่างแน่นอน"

       คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจในยุคนี้ ต้องปรับตัวกันเร็วมากขึ้น การเกิดใหม่ของผู้ประกอบการมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้บางครั้งจะเป็นผู้นำตลาดมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะครองแชมป์ได้ยาวนานเสมอไป หากไม่สามารถมองเกมและสร้างกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ตรงจุด และสอดรับกับสถานการณ์อย่างทันท่วงที ก็คงจะดำรงธุรกิจของตนเองให้เติบโตได้ยาก จากข้อมูลทั้งเรื่องของพื้นดวงเศรษฐกิจ แนวโน้มธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง หรือแม้แต่เทรนด์ระดับโลก คงเป็นแหล่งให้สามารถนำไปวิเคราะห์ให้กับองค์กรของตนเองระดับหนึ่ง.

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!