- Details
- Category: หอการค้า
- Published: Saturday, 10 March 2018 22:48
- Hits: 6034
ม.หอการค้า เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ก.พ.อยู่ที่ 79.3 ปรับลงเป็นครั้งแรกรอบ 7 เดือน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.พ.61 อยู่ที่ 79.3 จาก 80.0 ในเดือน ม.ค. 61 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 66.1 จาก 67.0 ในเดือน ม.ค.61
ส่วนดัชนี ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 74.2 จาก 74.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 97.4 จาก 98.0
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ. 61 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน โดยมีปัจจัยลบจากความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองที่กังวลการเลือกตั้งเลื่อนออกไปเป็น ก.พ.62, ราคาพืชผลทางการเกษตรบางรายการยังทรงตัวในระดับต่ำ, ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไตรมาส 4/60 ขยายตัว 4.0% ส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งปีขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.9%, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ คาดการณ์ GDP ปี 61 ขยายตัว 3.6-4.6% หลังเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ย, การส่งออกของไทยในเดือน ม.ค. 61 สูงสุดในรอบ 62 เดือน, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง และการเสนอขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.61
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรฯ กล่าวว่า ค่อนข้างแปลกใจกับการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนนับตั้งแต่เดือน ส.ค.60 เพราะหากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมในหลายด้านแล้ว ส่วนใหญต่างส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลต่างๆ ที่มีผลต่อการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ทั้งวาเลนไทน์ และตรุษจีน, การส่งออกที่ขยายตัวสูง, ราคาสินค้าเกษตรบางรายการเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ยังมีน้ำหนักค่อนข้างมากต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เริ่มเห็นทิศทางการฟื้นตัว
แต่ปัจจัยเชิงลบที่เป็นปัจจัยที่คงค้างมานาน ไม่ว่ากระแสการปรับโครงสร้างเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่ผู้ประกอบการเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรแทนแรงงานคน ทำให้ไม่พิจารณารับคนงานเพิ่ม รวมไปถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่หันมาใช้เทคโนโลยีทางการเงินแทนการจ้างบุคลากร และการปรับลดสาขาธนาคารที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าสร้างความกังวลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในแง่ของรายได้และการจ้างงานในอนาคตค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ ปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเลือกตั้งที่เลื่อนออกไปเป็นเดือน ก.พ.62, การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ เริ่มมีเพิ่มขึ้น ทำให้คนเริ่มไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองว่าจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีการเติบโตแบบกระจุกตัว, ภาวะเงินบาทแข็งค่าที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.พ.ลดลง
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เป็นจุดที่ต้องสังเกตว่าจะมีทิศทางอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้ หากผู้บริโภคเริ่มกลับมามั่นใจในสถานการณ์ทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบกระจายตัวมากขึ้นภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคสินค้าและบริการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และจะมีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเด่นชัดขึ้นในปลายไตรมาส 2 ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 61 ขยายตัวได้ในระดับ 4.2-4.6% ตามที่เคยประมาณการไว้
"เราคงต้องขอเวลาอีก 2-3 เดือนในการติดตามสถานการณ์ เพราะถ้าเดือนหน้าดัชนีความเชื่อมั่นยังลดลงอีก ก็น่าเป็นห่วง แต่ถ้าประชาชนมองว่าการเมืองมีเสถียรภาพ นโยบายการลงทุนของภาครัฐตามโครงการไทยนิยม รวมทั้งการเดินหน้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อการกระจายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ทั่วถึงขึ้น เราก็เชื่อว่าประชาชนจะกลับมามีความมั่นใจมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 2 และช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมระบุว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวได้อย่างกระจายตัวมากขึ้น คืองบกลางปี 1 แสนล้านบาท ที่เป็นโครงการต่างๆ ผ่านโครงการไทยนิยม ตลอดจนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเฟส 2 ที่มีการสร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ผู้ถือบัตรที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ในระยะสั้นจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีการขยายตัวแบบกระจายตัวได้เร็วขึ้น ส่วนในระยะยาวคงต้องพึ่งพาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเชื่อว่าเมื่อรัฐบาลมีการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ดังกล่าว ตามด้วยการเริ่มจัดซื้อจัดจ้าง และการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการต่างๆ ก็จะเป็นอีกส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป
อินโฟเควสท์