WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ตู่11 16

EEC อนุมัติการลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%)

ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2565 การประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

       การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 1/2565 วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้รับทราบ และพิจารณาความก้าวหน้า การดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

  1. ก้าวสู่ปีที่ 4 อีอีซี ดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศรายได้สูง ยกระดับชีวิตประชาชนดีขึ้น
  2.        ที่ประชุม กพอ. รับทราบ ภาพรวมการดำเนินงาน ประโยชน์ประเทศและประชาชนได้รับจาก อีอีซี ดังนี้
  3. sme 720x100

ปี 2561 – 64 ถือเป็นช่วงวางเสาเอก หรือ เริ่มต้นมี พ.ร.บ. อีอีซี ถึงแม้ใน 2 ปีหลังจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่อีอีซี ได้อนุมัติการลงทุนแล้วประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%) เกิดจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 654,921 ล้านบาท ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ 924,734 ล้านบาท และบูรณาการเชิงพื้นที่ประมาณ 82,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังจากเกิด อีอีซี ทำให้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมที่สำคัญๆ ได้แก่

  • · เกิดการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี เฉลี่ยสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2559 (ก่อนมี อีอีซี) ที่มีมูลค่าลงทุน 1.7 แสนล้านบาท (คิดจากมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ หรือ BOI)
  • · เกิดสัดส่วนการลงทุนในพื้นที่ อีอีซี ต่อประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 52% จาก 36% ก่อนมี อีอีซี
  • · เกิดการลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปี 2561 เพิ่มขึ้นถึง 59% (ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์สงครามการค้า Trade war และโควิด-19 ในช่วงปี 2562-ปัจจุบัน)
  • · เกิดการริเริ่ม พัฒนาทักษะบุคลากร สร้างคนตรงกับงาน (อีอีซี โมเดล) ให้คนมีงานทำเพิ่มขึ้นถึง 14,467 คน พร้อมมีแผนขยายผลผูกพันเพิ่มเติมอีกกว่า 150,000 คน
  • QIC 720x100
  • · เกิดความร่วมมือกับสถาบันการเงินของรัฐ เสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ ชุมชนคนพื้นที่ เข้าถึงแหล่งเงินทุนฟื้นฟูกิจการคลายผลกระทบช่วงโควิด-19 โดยได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อธุรกิจประชาชนไปแล้ว 7,672 ราย คิดเป็นมูลค่า 1,052.7 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการขนาดรายเล็ก 1,359 ราย คิดเป็นมูลค่า 1,986.8 ล้านบาท
  • · เกิดการพัฒนาและยกระดับชีวิตชุมชนครบมิติ อาทิ เกิดแผนเกษตรสมัยใหม่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ดี มั่นคง ใช้เทคโนโลยีผลิตสินค้าตรงความต้องการของตลาด ส่งเสริมการลงทุนศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี รักษาตรงจุด เข้าถึงได้ทุกคน แผนการพัฒนาท่องเที่ยว NEO Pattya สร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน เสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ ชุมชนคนพื้นที่ เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อยอดกิจการคลายผลกระทบช่วงโควิด-19 เป็นต้น

     เปิดศักราชใหม่ ปี 2565 อีอีซี เร่งสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนแผนลงทุนระยะ 2 อีอีซี (ปี 2565-2569) ตั้งเป้าเกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จากการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 2 แสนล้านบาท ดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ต่อยอดจากฐานปกติ และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ปีละ 4 แสนล้านบาท เพื่อให้เกิดการลงทุนนวัตกรรมใหม่เคียงคู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตขึ้น (GDP) 5% ต่อปี มูลค่า

     การส่งออกสินค้าและบริการของไทยมีมูลค่าสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะเกิดการพลิกโฉมการศึกษาพัฒนาทักษะบุคลากรโดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ รายได้มั่นคง

       โดยปี 2572 อีอีซี ตั้งเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐานราก ให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง

       ก้าวสู่ประเทศพัฒนา รวมทั้งยกระดับคุณภาพชุมชนในมิติต่างๆ ต่อเนื่อง สร้างรายได้ที่มั่นคง สร้างชุมชนที่มั่งคั่ง ให้กับคนไทย

       ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเป็นองค์กรต้นแบบการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษทั่วประเทศในอนาคตต่อไป 

  1. ก้าวสู่ปีเสือทอง 4 โครงสร้างพื้นฐานเดินหน้าก่อสร้าง ใช้เงินไทย ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ร่วมสร้างประเทศไทย รัฐได้ผลตอบแทน 2 แสนล้านบาท

      ที่ประชุม กพอ.รับทราบ ความก้าวหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญของอีอีซี ที่ได้ผลักดันการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน (PPP) จนสำเร็จครบ และต่อจากไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ ทุกโครงการ (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง) จะสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ตามแผนทั้งหมด นับเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพิงเงินกู้ต่างประเทศเช่นในอดีต รัฐได้ประหยัดงบประมาณ ร่วมมือกับเอกชนไทยใช้เงินไทย ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ร่วมสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรต่างชาติมาร่วมลงทุน สร้างงาน สร้างเงินให้คนไทย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 654,921 ล้้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,352 ล้้านบาท

  1. 4 โครงสร้างพื้นฐานหลักใน EEC เงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท รัฐได้ผลสุทธิกว่า 2 แสนล้านบาท
  2. เดินหน้าศูนย์จีโนมิกส์ เสริมแกร่งสาธารณสุข คนไทยได้รักษาโรคแม่นยำ สุขภาพดีทั่วหน้า

     ที่ประชุม กพอ.รับทราบ ความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สกพอ. ได้ลงนามในสัญญาจ้าง และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการ และมีสุขภาพดี

 

นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC รับทราบภาพรวมการดำเนินงานปีที่ 4 อีอีซีดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท ย้ำทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานปี 2565 ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศรายได้สูง

      โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ประชุมบอร์ด EEC รับทราบภาพรวมการดำเนินงานปีที่ 4 อีอีซีดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท ย้ำทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานปี 2565 ขับเคลื่อนไทยสู่ประเทศรายได้สูง ยกระดับชีวิตประชาชนดีขึ้น

      ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) (บอรด์ EEC) ครั้งที่ 1/2565 ผ่านระบบ Video Conference โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เข้าร่วมด้วย  นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

        นายกรัฐมนตรีกำหนดเป้าหมายปี พ.ศ. 2565 เป็นปีแห่งความสำเร็จ ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ไขปัญหาและทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ เพื่อไม่ให้ค้างคาหรือล่าช้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ในครั้งหน้า ด้วยการร่วมมือกันปลดล็อกอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ เพื่อสร้างผลงานให้ปรากฏชัดเจนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการของ EEC ภายใต้นโยบายของรัฐบาล ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ออกจากกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของประเทศให้ GDP เพิ่มสูงขึ้น และให้รัฐมีรายได้ที่สามารถจะดูแลประชาชนทุกกลุ่มตลอดจนผู้มีรายได้น้อย

      นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลแก้ปัญหาความยากจนแบบมุ่งเป้า  สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่มีความพร้อมแต่ขาดเงินทุน 2) กลุ่มที่ยังไม่พร้อมต้องเพิ่มการเรียนรู้ก่อนสนับสนุนทุนให้ และ3) กลุ่มที่ยังไม่มีความพร้อมอะไรเลย ดังนั้น ต้องหาแนวทางทำให้เข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ในกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ด้วย เพื่อให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปพร้อมกันให้ได้ นอกจากนี้ ใช้ศักยภาพความหลากหลายทางชีวภาพมาดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ เช่น พืชสมุนไพร หรือความหลากหลายทางชีวภาพอื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้กับประชาชน 

       และให้ประสานความร่วมมือบูรณาการทำงานกับบีโอไอด้วย รวมไปถึงการดำเนินการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายรัฐบาลและทั่วโลกในแก้ไขปัญหาลดโลกร้อนตามที่ได้ประกาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการที่ไทยประกาศให้ความสำคัญคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนในการประกอบการธุรกิจเคารพ คุ้มครอง และเยียวยา เพื่อให้เกิดการลงทุนที่ปลอดภัย คำนึงต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ต้องกลับมาแก้ปัญหาภายหลังอีก

       นายกรัฐมนตรีย้ำถึงแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566 – 2570 ซึ่งรัฐบาลเน้นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบโลกจิสติกส์ของประเทศให้เกิดการเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบทั้งประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และระบบราง เชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วย โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม สกพอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันดำเนินการให้สำเร็จตามแผนที่ได้วางไว้ และเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศ ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค

       โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่าในที่ประชุมวันนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ศึกษาแนวทางแก้ปัญหาเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์สำหรับการขนส่งสินค้า การเกษตรและผลไม้ต่าง ๆ ขณะที่การแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F โดยกำชับให้พิจารณาแต่งตั้งบุคคลที่สุจริต ไม่มีผลประโยชน์ และไม่มีคดีความต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน

สำหรับมติ กพอ. ที่สำคัญ มีดังนี้

      1) รับทราบภาพรวมการดำเนินงาน ประโยชน์ประเทศและประชาชนได้รับจาก อีอีซี โดยก้าวสู่ปีที่ 4 อีอีซี ดึงเงินลงทุนแล้ว 1.7 ล้านล้านบาท (การลงทุนภาคเอกชน 80% และภาครัฐ 20%)  เกิดจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 654,921 ล้านบาท ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ 924,734 ล้านบาท และบูรณาการเชิงพื้นที่ประมาณ 82,000 ล้านบาท และในปี  2565 อีอีซี เร่งสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนแผนลงทุนระยะ 2 อีอีซี (ปี 2565-2569) ตั้งเป้าเกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จากการต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน 2 แสนล้านบาท ดึงดูดการลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ต่อยอดจากฐานปกติ และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ปีละ 4 แสนล้านบาท

      เพื่อให้เกิดการลงทุนนวัตกรรมใหม่เคียงคู่สิ่งแวดล้อม รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตขึ้น (GDP) 5% ต่อปี มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการของไทยมีมูลค่าสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ จะเกิดการพลิกโฉมการศึกษาพัฒนาทักษะบุคลากรโดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ รายได้มั่นคง โดยปี 2572 อีอีซี ตั้งเป้าหมายสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงจากฐานราก ให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางก้าวสู่ประเทศพัฒนา รวมทั้งยกระดับคุณภาพชุมชนในมิติต่างๆ ต่อเนื่อง สร้างรายได้ที่มั่นคง สร้างชุมชนที่มั่งคั่ง ให้กับคนไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเป็นองค์กรต้นแบบการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษทั่วประเทศในอนาคตต่อไป

       2)  รับทราบความก้าวหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลัก ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสำคัญของอีอีซี ที่ได้ผลักดันการลงทุนร่วมรัฐ-เอกชน (PPP) จนสำเร็จครบ และต่อจากไตรมาส 1 ปี 2565 นี้ ทุกโครงการ (รถไฟความเร็วสูง สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง) จะสามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ตามแผนทั้งหมด โดยถือเป็นต้นแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพิงเงินกู้ต่างประเทศเช่นในอดีต รัฐได้ประหยัดงบประมาณร่วมมือกับเอกชนไทย ใช้เงินไทย ใช้บริษัทไทย ใช้คนไทย ร่วมสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งเป็นแกนหลักนำพันธมิตรต่างชาติมาร่วมลงทุน สร้างงาน สร้างเงินให้คนไทย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 654,921 ล้านบาท และรัฐได้ผลตอบแทนสูงถึง 210,352 ล้านบาท

      3) รับทราบความก้าวหน้าโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่ อีอีซี ยกระดับให้ชุมชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข และแผนการขับเคลื่อนการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ โดยเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ศูนย์บริการจีโนมิกส์ในอีอีซี และบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และ สกพอ. ได้ลงนามในสัญญาจ้าง

     และสัญญาเช่าที่บริการถอดรหัสพันธุกรรม กับกิจการร่วมค้าไทยโอมิกส์ เพื่อถอดรหัสพันธุกรรมประชาชน 50,000 ราย ในระยะเวลา 5 ปี และจัดเก็บเป็นข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยและเลือกการรักษาโรคที่ถูกต้อง เป็นต้นแบบในพื้นที่ อีอีซี เพื่อให้คนไทยทุกคน ได้รับการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำ รักษาได้ตรงอาการ และมีสุขภาพดี

 

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C J

GC 720x100

TU720x100

BANPU 720x100

ais 720x100

NHA720x100   

เจนเนอราลี่

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!