- Details
- Category: USA
- Published: Sunday, 26 February 2017 15:31
- Hits: 6068
รัฐบาล ทรัมป์ เดินหน้าแผนสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก
รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าแผนสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ด้วยการเปิดรับแบบกำแพงจากผู้รับเหมา ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรก
สำนักงานศุลกากรและการป้องกันแนวชายแดนของสหรัฐ ได้ออกเอกสารเชิญชวนยื่นข้อเสนอเมื่อวันศุกร์ และจะออกเอกสารการประมูลอย่างเป็นทางการประมาณวันที่ 6 มี.ค.
ผู้รับเหมาจะต้องยื่นแบบกำแพงภายในวันที่ 10 มี.ค. จากนั้นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะต้องยื่นเอกสารเสนอราคาภายในวันที่ 24 มี.ค.
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้คำมั่นในระหว่างหาเสียงว่าจะสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐและเม็กซิโก เพื่อสกัดกั้นการอพยพอย่างผิดกฎหมายและอาชญากรรมข้ามพรมแดน ทั้งยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะเพิ่มมาตรการที่จะนำมาบังคับใช้กับผู้อพยพประมาณ 11 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐโดยผิดกฎหมาย
ทรัมป์ ลั่นพร้อมใช้ยุทธการทางทหารกำจัดผู้ไม่หวังดีออกจากสหรัฐ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐพร้อมใช้ "ปฏิบัติการทางทหาร" เพื่อ "กำจัดผู้ไม่หวังดีออกจากประเทศ"
ในระหว่างการประชุมร่วมกับผู้นำทางธุรกิจที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า "พวกคุณคงเห็นกันอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่ชายแดน ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้กำจัดพวกกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงพวกพ่อค้ายาเสพติดออกไปจากประเทศของเราได้ และเราจะเดินหน้ากำจัดผู้ที่ไม่หวังดีออกจากสหรัฐให้หมดไปอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน"
ทรัมป์ กล่าวเสริมว่า สหรัฐจะใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อกำจัดผู้ไม่หวังดีออกไปจากสหรัฐ ซึ่งคนกลุ่มนี้มักใช้วิธีลักลอบเข้าเมืองมาอย่างผิดกฏหมาย
แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวได้ยืนยันในภายหลังว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดนั้นเกิดมาจากการไตร่ตรองโดยละเอียดรอบคอบ โดยระบุว่า "ประธานาธิบดีได้ชี้แจงถึงการบังคับใช้คำสั่งพิเศษอย่างชัดเจนและมีระเบียบแบบแผน"
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลชุดใหม่ได้วางแผนยกระดับการตรวจคนเข้าเมืองให้เข้มงวดมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ ศาลรัฐบาลกลางได้สั่งระงับคำสั่งพิเศษประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐเป็นเวลา 90 วัน โดยศาลวินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองของประเทศ สำนักข่าวซินหัวรายงาน
ทรัมป์ เล็งเพิ่มเขี้ยวเล็บทางทหารญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ หวังตอบโต้เกาหลีเหนือทดลองขีปนาวุธ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่าตนนั้น "ไม่พอใจอย่างมาก" กับการที่เกาหลีเหนือยังคงทำการทดสอบขีปนาวุธในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา และกล่าวว่า การเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันขีปนาวุธให้แก่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะใช้ตอบโต้การกระทำของเกาหลีเหนือ
นอกจากนี้ ทรัมป์ให้สมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า จีนสามารถแก้ปัญหานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้ "อย่างง่ายดายถ้าหากต้องการจะทำ" และได้เรียกร้องให้จีนใช้อิทธิพลของตนเองให้มากขึ้น ในการกดดันเกาหลีเหนือให้หยุดโครงการนิวเคลียร์ที่ขัดต่อมติของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทรัมป์กล่าวว่า " เรื่องนีมีการพูดคุยกันมากกว่าที่หลายฝ่ายคิด"
"สหรัฐจะยังคงจับตาสถานการณ์ต่อไป ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ถือว่าอันตรายมาก และในความเห็นส่วนตัวคือจีนสามารถหยุดเกาหลีได้อย่างรวดเร็ว" ทรัมป์กล่าว
การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. โดยฝั่งเกาหลีเหนือระบุว่า ขีปนาวุธที่ใช้ทดสอบเป็นขีปนาวุธชนิดใหม่ ซึ่งมีพิสัยระยะกลางจนถึงระยะไกล
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า เจตนาในการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือคือเพื่อดูเชิงการตอบโต้ของทรัมป์ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน
ทรัมป์ เลื่อนลงนามคำสั่งแบน 7 ชาติมุสลิมฉบับใหม่ออกไป
สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของรอยเตอร์ว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้เลื่อนการลงนามคำสั่งแบนพลเมือง 7 ชาติมุสลิมฉบับใหม่ออกไปเป็นสัปดาห์หน้า
รายงานระบุว่า คำสั่งฉบับใหม่อาจจะมีการลงนามในสัปดาห์หน้า จากเดิมที่ทรัมป์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า คำสั่งฉบับใหม่นี้จะถูกบังคับใช้ภายในสัปดาห์นี้
ทรัมป์ ระบุว่า คำสั่งใหม่นี้จะมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะสมกว่าคำสั่งเดิมที่ถูกศาลสั่งยับยั้ง โดยอ้างถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์เขต 9 ประจำนครซานฟรานซิสโกของสหรัฐ ได้มีคำพิพากษายืน โดยปฏิเสธที่จะให้รื้อฟื้นคำสั่งแบนของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการห้ามพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิมเข้าสหรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วยอิรัก อิหร่าน ซีเรีย เยเมน โซมาเลีย ซูดาน และลิเบีย
ทรัมป์ เสนอชื่อ อเล็กซานเดอร์ อาคอสตา นั่งรัฐมนตรีแรงงานสหรัฐ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อนายอเล็กซานเดอร์ อาคอสตา สังกัดพรรครีพับลิกันเชื้อสายฮิสแปนิกและเป็นอดีตสมาชิกคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ (NLRB) ขึ้นดำรงตำแหร่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
นายอเล็กซานเดอร์ อkคอสตา ซึ่งเป็นบุตรของผู้อพยพชาวคิวบา ถือเป็นผู้ที่มีเชื้อสายฮิสแปนิกคนแรกที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวว่า "อาคอสตามีประวัติการทำงานที่ยอดเยี่ยม ผมคิดว่า เขาจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานที่ดีเยี่ยม"
นายอาคอสตาสำเร็จการศึกษาสาขานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยปัจจุบันเป็นอธิการบดีของสถาบันนิติศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยฟลอริดา อินเตอร์เนชั่นแนล (FIU) และเคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนส.ค. ปี2545 จนถึงเดือน ส.ค. 2546
การประกาศเลือกนายอาคอสตามีขึ้นหลังจากที่นายแอนดี้ พุซเดอร์ ได้ประกาศถอนตัวจากการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน หลังจากสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติของพรรคริพับลิกันจำนวนมากไม่เห็นด้วย สำนักข่าวซินหัวรายงาน
ทรัมป์จัดแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว อัดสื่อไม่ยุติธรรม ขณะส่งสัญญาณเป็นมิตรกับรัสเซีย
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้จัดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวในวันพฤหัสบดี โดยทรัมป์ได้กล่าวโจมตีสื่อว่าไม่มีความซื่อสัตย์และไม่ยุติธรรม และยังได้ตำหนิพรรคเดโมแครตว่าทำให้การสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาเป็นไปด้วยความยุ่งยาก
ในการแถลงข่าวครั้งนี้ซึ่งกินระยะเวลา 77 นาที ทรัมป์ได้พูดถึงประเด็นรัสเซียด้วยว่า เป็นเรื่องดีหากสหรัฐจะหันมาเป็นมิตรกับรัสเซีย พร้อมกล่าวถึงข้อกล่าวอ้างที่ว่า สหรัฐขายแร่ยูเรนียมให้กับรัสเซียในปริมาณ 20% ของยูเรเนียมในสหรัฐ เมื่อครั้งที่นางฮิลลารี คลินตัน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยนายทรัมป์กล่าวย้ำว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง
การแถลงข่าวของทรัมป์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียนั้น มีขึ้นหลังจากนายไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ได้ประกาศลาออก กรณีที่มีรายงานว่าเขาได้ทำการติดต่อกับรัสเซียก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง โดยมีรายงานว่านายฟลินน์ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องการยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐ
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แต่งตั้งพลเอกคีท เคลล็อก ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว ให้ทำหน้าที่รักษาการที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ แทนนายฟลินน์
อินโฟเควสท์