WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

G-Kobkarnรมว.ท่องเที่ยวฯ เผยยังไม่พบ Booking ยกเลิกจนถึง 2-3 เดือนหน้าหลังไทยเจอเมอร์ส

     นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวขาเข้าไม่มีการยกเลิกการเดินทางมาไทย แม้ในไทยจะมีการพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเมอร์ส 1 ราย แต่จากการที่ประเทศไทยมีมาตรการเฝ้าระวังเชื้อไวรัสเมอร์สอย่างเข้มข้นจึงยังไม่พบการแพร่ระบาดของโรคนี้

     ส่วนสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทย ช่วงวันที่ 1-23 มิ.ย.58 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยรวม 1,710,953 คน เพิ่มขึ้น 53.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยว 77,007 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือนมิ.ย.58 นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 2 อันดับแรก คือ จีนและมาเลเซีย คาดว่าตลอดทั้งเดือน มิ.ย.นี้ นักท่องเที่ยวจะขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 53-55%

     ทั้งนี้ เมื่อรวม 8 เดือน (ต.ค.57-23 มิ.ย.58) จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 21,619,829 คน เพิ่มขึ้น 19.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมรายได้ 8 เดือนอยู่ที่ 1,035,047.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

    สำหรับ มาตรการขั้นตอนรับมือโรคเมอร์สของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ขณะนี้มีการแบ่งกลุ่มประเทศเสี่ยงมี 6-7 ประเทศ รวม 37 สายการบิน ปัจจุบันมีไฟลท์มาลงในประเทศไทย 18-21 เที่ยวบิน/วัน โดยทางสนามบินสุวรรณภูมิได้มีการจัดระบบให้เครื่องมาลงที่หลุมจอด E และ F จากนั้นผู้โดยสารและลูกเรือจะมายังด่านตรวจคนเข้าเมืองด้านทิศตะวันตก ซึ่งก่อนเครื่องลงจะมีการประกาศ อธิบาย แจกแผ่นพับ Health Beware 3 ภาษา คือ ภาษาอารบิก อังกฤษ และ เกาหลีแจ้งข้อปฏิบัติในการเข้าประเทศ

    นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งกล้องเทอร์โมสแกน 4 เครื่อง โดย 2 เครื่องอยู่บริเวณหลุดจอด E และ F ส่วนอีก 2 เครื่องติดตั้งไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และในวันศุกร์หน้าจะนำมาติดตั้งเพิ่มอีก 3 เครื่อง มีการปรับอุณหภูมิของเครื่องเทอร์โมสแกนลดลงมาเป็น 36.5 องศาเซลเซียส จากเดิมอยู่ที่ 37 องศาเพื่อให้การตรวจจับอาการเบื้องต้นได้เร็วขึ้น

    จากนั้นทางด่านตรวจคนเข้าเมืองจะตรวจรายละเอียดว่านักท่องเที่ยวแต่ละคนเดินทางมาจากประเทศใด จะเข้าพักที่ไหน เพื่อกรณีหากเข้ามาแล้ว 14 วันพบผู้ใดมีอาการป่วยก็สามารถติดตามตัวผู้ปวยและผู้สัมผัสโรคได้ และทำการสังเกตอาการหากพบว่ามีการไอจามผิดปกติก็จะเรียกหน่วยตรวจ PPE มารับตัวแยกไปในทันทีเพื่อนำไปส่งยังห้อง Negative Pressure ซึ่งป้องกันมิให้อากาศภายในห้องแพร่กระจายออกไปด้านนอก ซึ่งในกรุงเทพฯมีอยู่ 38 ห้องกระจายอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใต่างจังหวัดมีอยู่ 70 ห้องกระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ

     "มาตรการลังกษณะนี้จะดำเนินการใช้กับสนามบินภายในประเทศอื่นๆด้วย โดยขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ขอความร่วมมือในการคัดกรองผู้โดยสารเข้มข้นทั้งช่วงต้นทางและปลายทาง"

       รมว.ท่องเที่ยวฯ ยังกล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO)ติดธงแดงประเทศไทยว่า ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวต่อผลกระทบที่อาจะเกิดขึ้นกับวงการท่องเที่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ การประกาศบนเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติตามเอกสาร DOC 9735 ซึ่งเป็นข้อมูลสถานะที่สาธารณะทราบกันอยู่แล้ว จะมีผลเพียงการเพิ่มเส้นทางการบินและการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งตามการพัฒนามาตรฐานเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องให้เป็นไปตามข้อกำหนดต้องใช้เวลาและมีกระบวนการที่ซับซ้อน

      ดังนั้น การที่กระทรวงคมนาคมได้ส่งนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม และคณะเดินทางไปชี้แจงทำความเข้าใจถึงแนวทางแก้ปัญหาเพื่อปลดล็อคเงื่อนไขต่างๆ ก็ทำให้ ICAO พอใจในความพยายามแก้ไขปัญหาด้านการบินของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

      "เรื่อง ICAO ได้มีการพูดคุยใกล้ชิดกับ รมว.คมนาคม ขณะเดียวกันก็พูดคุยเป็นการภายในกันเอง ก็ยังมีความมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะส่งผลให้การท่องเที่ยวไทยลดลง เพราะการบินของต่างประเทศมาไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่เครื่องบินสัญชาติไทย และนักท่องเที่ยวสามารถเลือกสายการบินได้เยอะมากทั้งสายการบินปกติ และโลว์คอสจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นยังค่อนข้างมั่นใจว่านักท่องเที่ยวยังสามารถมาท่องเที่ยวประเทศไทยได้ตามปกติ และหลายสายการบินสนใจเส้นทางบินมาประเทศไทย ทั้งบินตรงมาไทยหรือ transit ที่ประเทศไทย ทำให้หลายประเทศอาจจะเพิ่มไฟล์ทมาไทยด้วยซ้ำ"นางกอบกาญจน์ กล่าว

     รมว.ท่องเที่ยวฯ ยืนยันว่าทั้งปัญหาเมอร์สและ ICAO ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย เรายังยืนยันเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 28.8 ล้านคน รายได้ 2.2 ล้านบาท

      อินโฟเควสท์

สทท.เผยเมอร์สไม่กระทบ มั่นใจต่างชาติเที่ยวไทย 29.51 ล้านคน

      แนวหน้า : นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประอบการท่องเที่ยว ไตรมาส 2/2558 ว่า สทท.ได้ทำการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว 600 รายเพื่อประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวปี 2558 นี้ โดยผู้ประกอบการประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวไตรมาส 2/2558 อยู่ในระดับปกติ และจะต่อเนื่องไปในไตรมาส 3/2557 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวหลักจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเช่น จีน อินเดีย มาเลเซีย ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการบางรายยังมีความกังวลกับเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว และการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรป ทั้งนี้ในไตรมาส 3/2558 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทย 7.29 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 24.62% จากช่วงเดียวกันของปี 2557

     อย่างไรก็ตาม จากการศึกษามีแนวโน้มว่าสิ้นปี 2558จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวไทยประมาณ 29.51 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.09% และแนวโน้มสร้างรายได้ 1.44 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2557

     สำหรับ การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังไทยในปี 2558 มีแนวโน้มจะเติบโตถึง 7.45 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 61.79% และคาดว่าจะเป็นปีแรกที่ไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมามากกว่า 7 ล้านคน ซึ่งผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมความพร้อมและทำความเข้าใจกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว เช่น การให้ข้อมูลที่ถูกต้องในการท่องเที่ยวเมืองไทยให้มีความสุข พัฒนาและเรียนรู้ภาษาจีนในการสื่อสาร เป็นต้น ทั้งนี้ สทท.พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

    นายอิทธิฤทธิ์ กล่าวว่า จากกรณี ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.5% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทอ่อนค่าลงค่อนข้างมากโดยทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนพฤษภาคม 2558อ่อนค่าไปอยู่ระดับสูงกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐนั้น สทท.มองว่าส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก

    ส่วนการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส ขณะนี้ยังไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ในไทย และมั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และด่านตรวจคนเข้าเมืองก็มีความเข้มงวดมากขึ้น แต่จะต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด

    ทั้งนี้ปัจจุบันไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคนี้ ขณะเดียวกันความสามารถในการรองรับของสนามบินสุวรรณภูมิเริ่มมีความแออัดมากขึ้น หน่วยงานที่รับผิดชอบจำเป็นต้องเร่งพิจารณาปรับปรุงและขยายสนามบินสุวรรณภูมิให้ทันต่อความต้องการของสายการบินทั่วโลกที่มายังภูมิภาคนี้ รวมทั้งพัฒนาและยกระดับมาตรฐานสนามบินให้มีความพร้อมที่จะรองรับการขยายตัวของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!