- Details
-
Category: ท่องเที่ยว
-
Published: Friday, 30 January 2015 12:24
-
Hits: 2945
คาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกปี 58 ขยายตัว 15%
ตลาดการซื้อขายโรงแรมในไทยมีแนวโน้มคึกคัก
รายงานการวิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนในธุรกิจโรงแรมจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) ระบุว่า ในปี 2557 ที่ผ่านมา การลงทุนซื้อขายโรงแรมทั่วโลกมีมูลค่ารวม65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนในปี 2558 นี้ เจแอลแอลคาดว่า มูลค่าการซื้อขายมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% ขึ้นไปที่ระดับ 68,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานของอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง สภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดสินเชื่อ ทุนระหว่างประเทศที่มีกำลังซื้อสูง และจำนวนโรงแรมที่มีเสนอขายเพิ่มขึ้น
เจแอลแอล ยังคาดการณ์ด้วยว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% ด้วยเช่นกัน โดยคาดว่ายอดการลงทุนซื้อขายรวมจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ล้านดอลลาร์ โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจสูง เช่นเดียวกับออสเตรเลียที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนจีน คาดว่าจะเป็นประเทศผู้ซื้อที่สำคัญเนื่องจากรัฐบาลผ่อนคลายการควบคุมการลงทุนนอกประเทศและนักลงทุนจีนสนใจขยายการลงทุนออกไปในต่างประเทศมากขึ้น ส่วนประเทศไทย คาดว่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมจะยังคงมีสภาพคึกคักเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
คาดทุนจีนซื้อโรงแรมในต่างประเทศมากขึ้นในปี 58
ในขณะที่กองทุนจากสหรัฐฯ และนักลงทุนจากตะวันออกกลาง คาดว่าจะยังคงเป็นผู้ซื้อหลักในตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมโลก แต่ในแง่ของอัตราการขยายตัว เชื่อว่า มูลค่าการลงทุนซื้อโดยนักลงทุนจากจีนจะมีการอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ทั้งนี้ ในปี 2557 ที่ผ่านมา จีนมีการลงทุนในต่างประเทศสูงขึ้นมาก จากการมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีและค่าเงินที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ในปลายปีที่ผ่าน กระทรวงการค้าของจีนยังได้ผ่อนคลายความเข้มงวดของขั้นตอนการอนุมัติสำหรับการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ ส่งผลให้นักลงทุนจากจีนสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนในตลาดการลงทุนหลักๆ ของโลกได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ลอนดอน ปารีส และซิดนีย์
เจแอลแอลคาดว่า จะมีเม็ดเงินการลงทุนจากนักลงทุนชาวจีนที่เข้าซื้อโรงแรมในต่างประเทศสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปีที่แล้ว ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีการลงทุนซื้อโรงแรมในต่างประเทศมากที่สุดในโลก จากเดิมที่ไม่ติด 1 ใน 10 ในช่วงก่อนหน้านี้
นายสก็อตต์ เฮเธอริงตัน ซีอีโอภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า“นโยบายที่เปลี่ยนไปของจีน จะช่วยให้นักลงทุนจีนสามารถเข้าแย่งชิงโอกาสการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตลาดโลกได้ รวมถึงการลงทุนซื้อโรงแรม ซึ่งเราเชื่อว่า จะนำไปสู่ปรากฏการณ์ใหม่ โดยจีนจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มนักลงทุนผู้ซื้อรายใหญ่ในตลาดโรงแรมของหัวเมืองสำคัญๆ ของโลก รวมถึงเมืองหลักๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเป็นตลาดการซื้อขายโรงแรมที่โดดเด่นที่สุดในเอเชียแปซิฟิกในปีนี้ เนื่องจากค่าเงินเยนอ่อนตัว การมีโรงแรมเสนอขาย และธุรกิจโรงแรมมีผลประกอบการที่ดี”
นายเครก คอลลินส์ ซีอีโอภาคพื้นออสตราเลเซีย (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะใกล้เคียงในมหาสมุทรแปซิฟิก) กล่าวว่า “การลงทุนซื้อขายโรงแรมในออสเตรเลียในปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในปนีนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงให้ความสนใจลงทุนในตลาดโรงแรมของออสเตรเลียสูงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน การมีเสถียรภาพทางการเมือง ความโปร่งใสของตลาดการลงทุน และการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ทำให้ตลาดโรงแรมของออสเตรเลียยังคงเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุน”
การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยยังคงมีแนวโน้มคึกคักในปีนี้
นายไมค์ แบทเชเลอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการตัวแทนลงทุนซื้อขายโรงแรมภาคพื้นเอเชีย เจแอลแอลกล่าวว่า “แม้ประเทศไทยจะประสบกับความผันผวนทางการเมืองตลาดหลายปีที่ผ่านมา แต่ตลาดโรงแรมของไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากการที่มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมเกิดขึ้นในไทยอย่างคึกคักในปีที่ผ่านๆ มา โดยในปี2557 และ 2558 การลงทุนซื้อขายโรงแรมแต่ละปีมีมูลค่าสูงกว่า 330 ล้านดอลลาร์ สำหรับปีนี้ จากการที่สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น เชื่อว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในไทยจะยังคงมีสภาพคึกคัก นอกจากนี้ ขณะที่นักลงทุนไทยจะยังคงเป็นผู้ซื้อหลัก แต่คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามามีบาทมากขึ้นในฐานะของผู้ซื้อในปีนี้”
ประมาณการณ์สำหรับการลงทุนซื้อขายโรงแรมในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก ในปี 2558
- ·อเมริกา –34,500 ล้านดอลลาร์
- ·EMEA (ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) – 24,700 ล้านดอลลาร์
เกี่ยวกับเจแอลแอล
เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ดำเนินธุรกิจบริการและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ใน 75 ประเทศ โดยในประเทศไทย เปิดดำเนินการนับตั้งแต่ปี 2533 และปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ มีพนักงานกว่า 1,400 คน และสำนักงานในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา