- Details
- Category: สิ่งแวดล้อม
- Published: Friday, 24 July 2015 14:13
- Hits: 4071
สปช.ผวาหนัก 15 ปีกรุงเทพฯ จมใต้บาดาล ชงตั้งกก.ยุทธศาสตร์ชาติ-ชู 4 แนวทางพ้นภัย
บ้านเมือง : ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้มีการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการการเตรียมการเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ (กรุงเทพจม) เรื่องการปฏิรูปเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ น้ำทะเลขึ้นสูงและแผ่นดินทรุดพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยนายวิทยา กุลสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่าจากลักษณะพื้นดินของกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 0.5-2.0 เมตร ประกอบกับ กทม.มีการพัฒนาความเจริญในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมือง เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการทรัพยากรมีเพิ่มมากขึ้น และนอกจากการทรุดตัวตามธรรมชาติแล้ว ยังพบว่าเกิดจากการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ระบบน้ำประปาเข้าไม่ถึง ซึ่งปัญหาที่พบจากการใช้น้ำบาดาลมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้พื้นดินใน กทม.และปริมณฑลเกิดทรุดตัว รวมทั้งภาวะน้ำหนักกดทับจากสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบัน กทม.มีอาคารสูง 20 ชั้นขึ้นไปประมาณ 700 แห่ง และ 8-20 ชั้น 4 พันแห่ง และรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นหลายสาย ทำให้พื้นที่บางส่วนของ กทม.และปริมณฑลมีโอกาสจะจมน้ำทะเลได้ในอนาคต
นายวิทยา กล่าวว่า ดังนั้นการปฏิรูปโดยเฉพาะในเชิงนโยบายจะต้องครอบคลุมทุกมิติที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ โดยจัดเป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อรับมือวิกฤตการณ์น้ำทะเลหนุนสูงและแผ่นดินทรุด โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจัดทำเป็นแผนหลักระยะยาว โดยเพิ่มเติมกฎหมายและขยายขอบเขตบทบาท กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปฏิรูปองค์กร ต้องกำหนดให้หน่วยงานหรือคณะกรรมการเฉพาะเพื่อขับเคลื่อนแผนงาน กำกับดูแลภารกิจในการป้องกันและรับมือปัญหาวิกฤติน้ำเพิ่มขึ้น รวมทั้งให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้และตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งโอกาสที่กทม.และปริมณฑลมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของดินและน้ำทะเลขึ้นสูง หากไม่ดำเนินการหรือมีมาตรการรองรับในระยะสั้น จะเกิดความเสี่ยงสูงมาก จากพื้นที่น้ำทะเลท่วมในวงกว้างและลึก โดยต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และใช้งบประมาณมหาศาล และอาจจะต้องมีการทบทวนประเด็นของการย้ายเมืองหลวงด้วย แต่ขณะ นี้กทม.มีความเสี่ยงอยู่ในระดับกลาง หากดำเนินการด้านมาตรการเพื่อรองรับในระยะเวลาที่เหมาะสมก็จะสามารถรับมือวิฤตการณ์ได้ทัน สามารถควบคุมความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง
จากนั้นสมาชิกได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเห็นว่าควรให้มีการขุดลอก คู คลอง เพื่อให้การระบายน้ำสะดวกรวดเร็วขึ้นในช่วงน้ำท่วม และสร้างทางน้ำออกสู่ทะเล รวมถึงมีการเสนอให้หยุดการเติบโตของเมือง โดยพิจารณาย้ายแหล่งอุตสาหกรรม แหล่งธุรกิจ ออกนอกพื้นที่ กทม.และพื้นที่ภาคตะวันออกด้วย โดยอาจจะเป็นโครงการใน 20-30 ปีข้างหน้า จากนั้นที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานดังกล่าว ด้วยคะแนน 166 ต่อ 5 งดออกเสียง 4 เพื่อส่งให้คณะกรรมาธิการนำกลับไปทบทวนใหม่ก่อนส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 7 วัน
นายสุจริต คูณธนกุลวงศ์ กรรมาธิการฯ แถลงว่า มาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ กทม.จมนั้นจะต้องทำในหลายประเด็น 1.การควบคุมการใช้น้ำบาดาล เพื่อควบคุมการทรุดตัวของแผ่นดิน 2.การควบคุมผังเมืองเพื่อควบคุมอาคารสูงไม่ให้กดทับพื้นดิน 3.ควบคุมการยกระดับของน้ำทะเล และ 4.บูรณาการดำเนินการป้องกันแบบองค์รวม หากไม่มีการดำเนินการอะไรเลยในเรื่องเหล่านี้ ประเมินว่ากรณีที่เลวร้ายที่สุด กทม.จะจมใน 15 ปีข้างหน้า ดังนั้นในช่วงเวลานี้ต้องเร่งทำเรื่อง กทม.จมให้เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อหามาตรการในการรับมือ ซึ่งปัจจัยที่น่าห่วงที่สุดคือการหนุนของน้ำทะเลเพราะไม่สามารถควบคุมได้ ขณะนี้ที่อ่าวไทยมีน้ำทะเลเพิ่มขึ้นทุกปี จึงมีแนวคิดที่จะทำเขื่อนกั้นน้ำทะเล ตั้งแต่ อ.ศรีราชาถึง อ.หัวหิน เพื่อป้องกันไม่ให้ กทม.จม ตลอดจนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่โดยรอบ ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 5 แสนล้านบาท