- Details
- Category: สิ่งแวดล้อม
- Published: Saturday, 05 February 2022 15:10
- Hits: 9506
สุริยะ ชงนายกฯ ตั้งอนุกรรมการร่วมฯ ป้องกันเกิดเหตุซ้ำ สั่ง กนอ.จี้ SPRC รับผิดชอบความเสียหายทั้งระยะสั้นและยาว
สุริยะ ชงนายกรัฐมนตรี ตั้งอนุกรรมการร่วมฯ ป้องกันเกิดเหตุซ้ำ สั่ง กนอ.จี้ SPRC ชดใช้ค่าเสียหายกรณีน้ำมันดิบรั่ว ด้าน ‘วีริศ’ เผย บริษัทฯยินดีรับผิดชอบความเสียหายทั้งระยะสั้นและยาว แจงแม้ กนอ.ไม่มีอำนาจในการดูแลท่อและทุ่นขนถ่ายน้ำมันในทะเล แต่พร้อมร่วมแก้ปัญหาเต็มที่ ภายใต้หลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล ของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC นั้น ได้รายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบ เพื่อขอให้พิจารณาจัดตั้งอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่สืบค้นปริมาณการรั่วไหลที่แท้จริง หาสาเหตุของปัญหา และหาวิธีการ/มาตรการการแก้ที่ต้นเหตุแห่งปัญหาอย่างยั่งยืน
ซึ่งจะประกอบด้วย ผู้แทนจากชุมชนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนจังหวัด ผู้แทนกรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น มีหน้าที่วิเคราะห์สาเหตุ ตรวจสอบความเหมาะสมของวิธีการและวงรอบในการทำการซ่อมบำรุงระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และพิจารณาออกกฎระเบียบหรือเสนอกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้ผลสรุปที่เหมาะสม ก็จะนำไปขยายผลรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนำไปพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
“ได้สั่งการให้ กนอ.ประสานไปยังผู้บริหารของ SPRC แสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม”นายสุริยะ กล่าว
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า กนอ.ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแล้ว โดยได้สั่งการให้บริษัท SPRC แสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม แม้ว่าภารกิจหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมคือการดูแลโรงงานและโรงกลั่น และการดูแลท่อและทุ่นขนถ่ายน้ำมันในทะเลจะไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ กนอ. แต่ กนอ.ก็พยายามมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่
โดยยึดหลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยขณะนี้บริษัทฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุถึงมาตรการด้านการเยียวยาต่างๆ แล้ว ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีที่จะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทางจังหวัดในการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ในกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลอีกด้วย ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลสามารถติดต่อและยื่นเรื่องได้ที่จุดรับเรื่องราวร้องทุกข์ กรณีพบคราบน้ำมัน หรือกรณีพบน้ำมันดิบรั่วไหล
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2565 ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ทัพเรือภาคที่ 1 (ศคปน.ทรภ.1) ระบุว่า ไม่พบคราบน้ำมันในทะเลตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 30 ม.ค.2565 ซึ่งสอดคล้องกับภาพถ่ายจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ขณะที่การเก็บกู้ชายหาดนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแล้วเสร็จประมาณ 90% รวมถึงจัดให้มีสายด่วนเพื่อรับแจ้งกรณีพบคราบต้องสงสัยบริเวณชายหาดเพิ่มเติม ซึ่งจะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าไปพิสูจน์และเก็บกู้คราบน้ำมันด้วย
“สำหรับ กรณีที่สังคมยังสับสนเกี่ยวกับตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมานั้น ขอชี้แจงว่า เป็นการคำนวณปริมาณน้ำมันที่รั่วไหลจากท่ออ่อนส่งน้ำมันด้านล่าง (Submarine Hose) ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ โดยใช้หลักการทางวิศวกรรม (Pressure Balance) เข้ามาคำนวณว่า มีปริมาณน้ำมันดิบรั่วไหลประมาณ 5 หมื่นลิตร ขณะที่ตัวเลขที่มีการเผยแพร่ในวันแรกว่า มีน้ำมันรั่วไหลจากท่อที่ใช้ในการโหลดจากเรือประมาณ 4 แสนลิตรนั้น เป็นตัวเลขที่บริษัทได้ประเมินปริมาณการรั่วไหลของน้ำมันจากกรณี Worst case หรือในแบบที่เสียหายมากที่สุด จากการกระจายตัวของน้ำมัน
แต่เราสามารถระงับเหตุได้ก่อน ส่วนสาเหตุที่ไม่สามารถหาจุดที่น้ำมันดิบรั่วไหลได้ทันทีนั้น เนื่องจากท่อดังกล่าวมีอายุการใช้งานมานาน จึงไม่มีเซ็นเซอร์บอกจุดที่มีการรั่วไหลเหมือนกับท่อรุ่นใหม่ ทั้งนี้ ยืนยันว่า กนอ.ยึดหลักการของการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ระหว่างอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลและของ กนอ.”นายวีริศ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) พบน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณ ทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM)
บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) ขอแสดงความขอโทษและเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อ ทุกๆ ท่านที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 เวลา 21.06 น. ซึ่งตั้งอยู่ห่างชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ประมาณ 20 กิโลเมตร
บริษัทฯ ขอเรียนให้ทราบว่า จากการคำนวณล่าสุด ปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลโดยประมาณอยู่ที่ 39 ตัน หรือเทียบเท่าโดยประมาณ 47,000 ลิตร ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 20 - 50 ตัน
บริษัทฯ ขอแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อการปฏิบัติงานของเรา และรู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมากต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรั่วไหลในครั้งนี้ บริษัทฯ จะเริ่มทำการสืบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วนสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจะทำการหาสาเหตุและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในกระบวนการสืบสวนนี้อีกด้วย
ทันทีที่เกิดเหตุการณ์รั่วไหลของน้ำมันดิบในบริเวณดังกล่าว บริษัทฯ ได้ปฏิบัติการอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อชุมชน ชายฝั่งทะเล และสิ่งแวดล้อมทางทะเล รวมถึงระดมทีมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ดำเนินการตามมาตรการการตอบโต้ภายใต้การควบคุมดูแลของกองทัพเรือ รวมไปถึงจัดให้อุปกรณ์มีความพร้อมใช้งานสำหรับการเก็บกู้คราบน้ำมัน อีกทั้ง มีการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในวันที่ 30 มกราคม 2565 ได้มีการยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันทั้งบริเวณอ่าวพร้าวและบริเวณรอบๆ เกาะเสม็ดอีกด้วย
สิ่งสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ สามารถผ่านสถานการณ์นี้มาได้ มาจากการได้รับการสนับสนุนและการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และชุมชนในพื้นที่ บริษัทฯ ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การช่วยเหลือในเหตุการณ์ครั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์ภายใต้การควบคุมดูแลของกองทัพเรือและกรมเจ้าท่า และได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานในจังหวัดระยอง, กรมควบคุมมลพิษ, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงอุตสาหกรรม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ตำรวจ, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน), สมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน (IESG), Oil Spill Response Limited (OSRL) กลุ่มชาวประมง และชุมชน
บริษัทฯ ตระหนักดีว่า แม้เราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะลดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ยังสร้างความเสียหายให้กับชุมชน การประมง ธุรกิจท้องถิ่น และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ ขอรับผิดชอบในเรื่องของการชดใช้ความเสียหายอย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผลให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้
บริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับจังหวัดระยอง เพื่อจัดตั้งจุดรับเรื่องร้องทุกข์ ณ บริเวณชายหาด บ้านสบ๊าย สบาย รีสอร์ท ตำบลตะพง นอกเหนือไปจากสายด่วนเบอร์โทร 1567 เพื่อเตรียมให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทั้งในระยะสั้น และระยะยาวสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกองค์กรและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและจะสนับสนุนการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต่อไป