- Details
- Category: สิ่งแวดล้อม
- Published: Sunday, 20 October 2019 00:06
- Hits: 5023
‘Whizdom Society by MQDC’ เปิดตัวโครงการ ‘BE THE CHANGE’ สนับสนุนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ร่วมกล้า ‘เปลี่ยน’ ปัญหาในสังคมไทยให้พัฒนาขึ้นแบบอย่างยั่งยืน
• โครงการ “BE THE CHANGE” โดย Whizdom Society by MQDC จัดขึ้นภายใต้แนวคิดการสนับสนุนสังคมคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนเก่งและมีจิตใจดี เพื่อดูแลสังคมหมู่มาก เชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่มีแรงบันดาลใจ มีแนวคิดต้องการ “เปลี่ยน” ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมให้พัฒนาขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างสรรค์กิจการเพื่อสังคม และ ส่งต่อสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน รับสมัครนิวเจนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ ระหว่าง 17 – 30 ปี ร่วมสมัครและแชร์ประสบการณ์หรือแนวคิดใหม่ เพื่อคว้าโอกาสผ่านการการคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าเรียนคอร์สพัฒนาตนเอง และได้โอกาสสัมผัสประสบการณ์ทริปดูงานด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมในระดับสากลที่ประเทศญี่ปุ่น
บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นของประเทศไทย ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัย แบรนด์วิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวโครงการ “BE THE CHANGE” โดย Whizdom Society by MQDC จัดขึ้นภายใต้แนวคิดการสนับสนุนสังคมคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนเก่งและมีจิตใจดี เพื่อดูแลสังคมหมู่มาก เชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่มีแรงบันดาลใจ มีแนวคิดต้องการ “เปลี่ยน” ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมให้พัฒนาขึ้นอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมสร้างสรรค์กิจการเพื่อสังคม และ ส่งต่อสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน รับสมัครนิวเจนคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ ระหว่าง 17 – 30 ปี ร่วมสมัครและแชร์ประสบการณ์หรือแนวคิดใหม่ เพื่อคว้าโอกาสผ่านการการคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าเรียนคอร์สพัฒนาตนเอง และได้โอกาสสัมผัสประสบการณ์ทริปดูงานด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมในระดับสากลที่ประเทศญี่ปุ่นเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 10 ธันวาคม 2562
นายกฤษฐ์สยุทธ ชววิทยาธรรม ผู้อำนวยการวิสซ์ดอม โซไซตี้ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เอ็มคิวดีซี (MQDC) กล่าวว่า ด้วยปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่มีเป้าหมายตอบแทนสังคมควบคู่กันไปด้วย ผนวกกับปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน เราจึงอยากที่จะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาโดยการสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ซึ่งกำลังจะกลายเป็น พลังสำคัญของภาคธุรกิจและสังคมในอนาคตอันใกล้ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพภายในให้มีความพร้อมที่จะก้าวสู่บทบาทผู้นำ โดยเฉพาะในกิจการเพื่อสังคมซึ่งเราอยากให้คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจและมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ด้วยการร่วมแก้ปัญหาสังคม ผ่านการขยายกิจการเพื่อสังคมให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสานต่อให้สามารถแก้ปัญหาสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมและอย่างยั่งยืนพร้อมกัน รวมทั้งเราพบว่าในหลายประเทศ เทรนด์ด้านกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่จะช่วยบรรเทาปัญหาสังคมที่มีความหลากหลายและอาจเป็นปัญหาที่กระทบกับคนในวงกว้าง หรือคนในวงจำกัด ที่อาจต้องการความช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นทั้งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้วให้ผ่อนคลายลงได้ เช่นประเทศอังกฤษ มีความก้าวหน้าในการพัฒนากิจการเพื่อสังคมระดับหัวแถวของยุโรปจนมีกิจการประเภทนี้ประมาณ 7 หมื่นราย จนกระทั่งรัฐบาลต้องมีนโยบายสนับสนุนกิจการ SE ประเทศอินเดียมีกิจการเพื่อสังคมที่เป็นที่ยอมรับคือ “Aravind Eye Hospital and Aurolab” เป็นโรงพยาบาลตาที่ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์และบริการด้านสาธารณสุขให้ผู้คนเข้าถึงได้ในราคาย่อมเยาว์ แต่องค์กรก็ยังคงมีเสถียรภาพทางการเงิน ประเทศแอฟริกาใต้มีโครงการ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดน้ำสะอาดจึงจัดตั้ง Playpumps เพลย์ปั๊มเป็นม้าหมุนสำหรับเด็กที่ช่วยสูบน้ำสะอาดสำหรับการอุปโภคบริโภคจากบ่อใต้ดินไปที่แทงค์เก็บน้ำ ทุกๆ ครั้งที่เด็กๆ หมุนเล่นและแทงค์น้ำนี้ก็เชื่อมต่อกับท่อน้ำในชุมชนเพื่อให้ทุกคนได้มีน้ำสะอาดใช้ โดยปัจจุบันมีเพลย์ ปั๊มประมาณ 700 เครื่องถูกติดตั้งในแอฟริกาใต้ แหล่งรายได้ของเพลย์ ปั๊มมาจากการขายพื้นที่โฆษณาบริเวณปั๊ม โดยโฆษณาบางส่วนมีเนื้อหารณรงค์เรื่องโรคเอดส์แก่เด็กเป็นต้น
“ในประเทศไทยเรามีตัวอย่างผู้ที่ดำเนินธุรกิจด้าน SE ที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จเช่นกัน อาทิ ดอยตุง Techsauce Media Local A like ซึ่งในคอร์สของเรา ผู้เข้าอบรมจะได้รับโอกาสในการเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้ก่อตั้งกิจการโดยตรง อาทิ ณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ผู้สร้างแอพ Read For The Blind สมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้ง Local A Like เที่ยวเมืองไทยในแบบฉบับของคนท้องถิ่น อัจฉริยะ ดาโรจน์ ผู้ก่อตั้ง AIYA แชทบอท ฯลฯ รวมถึงวิทยากรชั้นนำอีกมากมายที่จะมาให้ความรู้ด้านกฎหมาย และเทคโนโลยีต่างๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะการบริหารจัดการด้านกิจการเพื่อสังคมให้ก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ” นายกฤษฐ์สยุทธกล่าว
สำหรับโครงการ “BE THE CHANGE” เป็นหลักสูตรระยะเวลา 8 สัปดาห์ ประกอบด้วยองค์ความรู้ต่างๆ ทั้งด้านแนวคิด องค์ความรู้ด้านวิชาชีพ และ เวิร์คช้อป อาทิเช่น Digital Shift 2020, Sustainability Business, Innovative Thinking, UX Design, Leadership and teamwork, Storytelling, Law for SE และ Entrepreneurial Mindset นอกจากนั้นแล้ว ผู้ร่วมโครงการยังจะได้เรียนรู้จากการลงมือพัฒนาโครงการเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมให้เกิดขึ้นจริง ตามหัวข้อปัญหาที่ตนสนใจ โดยมี Mentor คอยให้คำแนะนำ และได้นำเสนอโครงการของตนเองในวันเดโมเดย์ (Demo Day) โดยผู้ชนะเลิศในโครงการ จะได้รับโอกาสศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อรับชมเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันทันสมัยต่างๆ รวมทั้งร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน Earth day Tokyo ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้และรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น
ผู้สนใจโครงการ “BE THE CHANGE” สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://whizdomclouds.com/bethechange
โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 10 ธันวาคม 2562
สัมภาษณ์และคัดเลือกผู้สมัคร : 16 - 20 ธันวาคม 2562
ประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมโครงการ : 24 ธันวาคม 2562
ระยะเวลาหลักสูตร : 18 มกราคม - 14 มีนาคม 2563 (เฉพาะวันสุดสัปดาห์)
Demo Day: 21 มีนาคม 2563
รางวัลทริปดูงานต่างประเทศสำหรับทีมที่ได้คะแนน Demo สูงสุด : เมษายน 2563
Hashtag: #WhizdomSociety #WhizdomBeTheChange #InspirationHub #KnowledgeSharingSociety
AO10371
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web