- Details
- Category: สิ่งแวดล้อม
- Published: Thursday, 07 February 2019 22:25
- Hits: 5477
สจล. งัด 8 ข้อเท็จจริง ชี้คนไทยเผชิญวิกฤติฝุ่น หวั่นเด็ก และเยาวชนเสี่ยงกระทบระยะยาว แนะกทม. สื่อสารประชาชนให้ตรงจุด ผุดแผนจัดการฝุ่นพิษ PM 2.5 ให้คนไทยปลอดภัยอย่างยั่งยืน
สจล. มุ่งตั้งศูนย์ติดตามข้อมูลรับมือฝุ่นจิ๋ว หนุนนวัตกรรมพัฒนาเมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย
นักวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เสนอ 8 ข้อเท็จจริงที่กทม. จำเป็นต้องแจ้งประชาชนในวิกฤติฝุ่นพิษ PM 2.5 คือ 1.ขาดระบบการแจ้งเตือนมลพิษในเมือง 2.แนวคิดการพัฒนาภาษีฝุ่น 3.รถยนต์คือต้นเหตุหลัก สมาร์ททรานสปอเทชั่นคือทางออก 4.ระบุจุดเสี่ยงฝุ่นได้ไม่ยาก 5.หยุดสิ้นเปลืองน้ำเพราะสปิงเกอร์ไม่ช่วยอะไร 6.บิ๊กเดต้าช่วยได้แต่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน 7.ภัยเงียบทำลายทรัพยากรมนุษย์ และ 8.นโยบายแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน แนะกทม. ยึดหลัก “รัฐรู้อย่างไร ประชาชนรู้อย่างนั้น” มุ่งตั้งศูนย์รวบรวมติดตามข้อมูลมลพิษทางอากาศ เน้นดูแลกลุ่มทารก เด็ก และเยาวชนอย่างใกล้ชิด ชี้วิกฤติฝุ่นแห่งชาติต้องผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแก้ปัญหาผ่านอำนาจกทม. สจล. รุดสนับสนุนนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สะท้อนเจตนารมณ์เป็นรากฐานด้านนวัตกรรมของชาติ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์ สจล. หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8111 เว็บไซต์ www.kmitl.ac.th หรือ www.facebook.com/kmitlnews
ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. กล่าวว่า วิกฤติฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดปัญหาในช่วงที่ผ่านมานั้น ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนที่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มทารก เด็ก และเยาวชน ที่ต้องการการดูและเป็นพิเศษเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านร่างกายที่อยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต ทำให้การตั้งคำถามจากหลายภาคส่วนถึงวิธีการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในเขตเมืองใหญ่ ที่ผู้รับผิดชอบหลักคือกรุงเทพมหานครในการดำเนินการ ปัญหาสำคัญที่ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจในกระบวนการบริจัดการแก้ไขวิกฤติฝุ่นละอองพิษ เนื่องมาจากการไม่ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับประชาชนให้เข้าใจ โดย สจล. ได้เสนอ 8 ข้อเท็จจริงปัญหาฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนควรทราบ
1. ขาดระบบการแจ้งเตือนมลพิษในเมือง จากวิกฤติฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งสัญญาณเป็นปัญหามากว่า 4 ปีแล้ว อันเกิดจากการพัฒนาเมืองอย่างก้าวกระโดด การก่อสร้างระบบโครงสร้างสาธารณูปโภค การก่อตัวของอสังหาริมทรัพย์ การใช้รถยนต์ส่วนบุคคล การใช้รถสาธารณะเครื่องยนต์ดีเซลเก่า ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ และการเพิ่มขึ้นของประชากรในเมือง ซึ่งปัญหาดังกล่าวข้างต้น กทม. รับทราบข้อมูลมาตลอด แต่กลับไม่แจ้งให้ประชาชนทราบถึงปัญหาที่กำลังจะก่อตัวเป็นวิกฤติมลพิษทางอากาศขึ้น และจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีในอนาคตข้างหน้า
2. แนวคิดการพัฒนาภาษีฝุ่น ที่ผ่านมาให้ประชาชน ผู้ประกอบการ และภาคส่วนอื่นๆ ทราบ จึงทำให้ทุกคนไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนมากในเขตเมือง ล้วนก่อให้เกิดปัญหาฝุ่นสะสมและปะทุเป็นวิกฤติฝุ่นพิษเมื่อสภาพอากาศปิด กระแสลมสงบ และไม่มีฝน ผนวกกับภูมิประเทศที่เป็นแอ่งของกทม. จึงทำให้เมืองจมอยู่ใต้ฝุ่นพิษ
3. รถยนต์คือต้นเหตุหลัก สมาร์ททรานสปอเทชั่นคือทางออก ซึ่งต้นเหตุของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่สำคัญมาจากการใช้ยานพาหนะสาธารณะเครื่องยนต์ดีเซลเก่า ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของกทม. ทำให้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทวีความรุนแรง จากจำนวนยานพาหนะที่มากกว่า 7,000 คันของกทม.
4. ระบุจุดเสี่ยงฝุ่นได้ไม่ยาก การละเลยการแจ้งพื้นที่เสี่ยงปริมาณฝุ่นเกินค่ามาตรฐาน เช่น บริเวณป้ายรถสาธารณะ บริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น จุดอับบริเวณใต้สะพาน ทางด่วน หรือสถานีรถไฟฟ้า และจุดศูนย์รวมรถบริการสาธารณะ เป็นต้น
5. สปิงเกอร์ไม่ช่วยอะไร จากมาตรการการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ของกทม. คือ การฉีดน้ำล้างถนนและการติดสปิงเกอร์บนตึกสูงเพื่อพ่นละอองน้ำ ไม่เกิดประสิทธิภาพเนื่องจากวิธีการนี้จะมีส่วนช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 10 มากกว่า PM 2.5 ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด โดยการพ่นละอองน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นจะต้องเลือกใช้กับพื้นที่ที่เป็นต้นเหตุในการก่อปัญหาฝุ่นละออง เช่น พื้นที่ก่อสร้าง ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น ป้ายรถเมล์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงปัญหาการสื่อสารไปยังภาคประชาชนให้ทราบถึงสาเหตุปัญหาฝุ่นและมาตรการการแก้ปัญหาระยะยาว จึงทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาของกทม.
6. บิ๊กเดต้าช่วยได้แต่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน จากการแสดงค่าฝุ่นละอองภาพรวมของกทม. นั้นทำให้หลายฝ่ายตระหนกกับค่าฝุ่นละอองที่เกินค่ามาตรฐานสูงมากและเป็นอันตรายถึงชีวิต ผนวกกับการขาดความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาของกทม. ต่อกรณีวิกฤติฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลให้หลายภาคส่วนทั้งเอกชนและสถาบันการศึกษา ต่างจำเป็นต้องหาเครื่องมือวัดปริมาณฝุ่นและมาตรการป้องกันเบื้องต้นด้วยตนเอง เช่น การหยุดการเรียนการสอน การประกาศหยุดงาน การแจกหน้ากากอนามัย N95 สำหรับป้องกันฝุ่นเบื้องต้น เป็นต้น
7. ภัยเงียบทำลายทรัพยากรมนุษย์ โดยกลุ่มคนที่ต้องเผชิญปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และอาจมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว คือ กลุ่มทารก เด็ก และเยาวชน ที่มีกว่า 1,700,000 คน ทั้งที่อาศัยหรือเรียนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีกทั้ง เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่เดินทางด้วยรถสาธารณะเป็นส่วนใหญ่และหน้ากากอนามัย N95 ที่ใช้ป้องกันฝุ่นนั้นไม่ได้ออกแบบให้รับกับสรีระใบหน้าของเด็กส่งผลให้ป้องกันได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคปอด โรคทางสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต
8. นโยบายแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน คือ การแจ้งข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต้นเหตุปัญหาให้ประชาชนรับรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พร้อมออกมาตรการที่เข้มงดกับผู้ประกอบการที่ดำเนินการก่อสร้างสาธารณูปโภคและอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมือง การแก้ปัญหายานพาหนะในกลุ่มรถสาธารณะและยานพาหนะของกทม. สนับสนุนการใช้ขนส่งมวลชนระบบรางในราคาสมเหตุสมผล การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยมาตรการจูงใจทางภาษี รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมเมือง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาวิกฤติมลพิษทางอากาศ และมลพิษอื่นๆ อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับ สำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) คณะแพทยศาสตร์ สจล. และสถาบันนวัตกรรมชุมชนอัจฉริยะ (ISCI) ได้เสนอแนะให้ยึดหลักการ “รัฐรู้อย่างไร ประชาชนรู้อย่างนั้น” ในการแจ้งข้อเท็จจริงกับประชาชนเกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และได้จัดตั้งศูนย์รวบรวมติดตามข้อมูลมลพิษทางอากาศด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสภาพอากาศแบบเรียลไทม์เฉพาะจุด เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการพัฒนาระบบการตรวจวัดฝุ่นละอองในแต่ละพื้นที่โดยมุ่งนำร่องในสถานศึกษาทั่วกรุงเทพฯ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี และเป็นปัญหาที่ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ผ่านบทบาทของกทม. เป็นตัวกลางในการออกมาตรการผ่านอำนาจหน้าที่ที่ตนมี โดย สจล. จะมุ่งสนับสนุนและคิดค้นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เพื่อสะท้อนการเป็นรากฐานด้านนวัตกรรมของชาติเสมอมา ดร. สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารงานทั่วไปและประชาสัมพันธ์ สจล. หมายเลขโทรศัพท์ 02-329-8111 เว็บไซต์ www.kmitl.ac.th หรือ www.facebook.com/kmitlnews
Click Donate Support Web