Tweet

0

Details

Category: CSR

Published: Monday, 11 August 2014 08:16

Hits: 3473

เส้นทางสู่ CSR ที่ยั่งยืนของเอสซีจี

เอสซีจี มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทุ่มเทสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการและรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลายของผู้บริโภค ควบคู่กับการพัฒนาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งห่วงโช่อุปทาน ไปจนถึงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน สังคม และดูแลสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืน

ความพยายามในการสร้างเครือข่ายสีเขียวจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ส่งผลให้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด ใน เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 5 (Green Industry Level 5) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เป็นรายแรกของประเทศไทย ทั้งในส่วนโรงงาน และส่วนเหมืองแร่หินปูน

                นายสุรชัย นิ่มละออ กรรมการผู้จัดการ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด ในเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่ารางวัลจากกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าว เป็นความภาคภูมิใจของ ปูนซิเมนต์ไทยลำปาง เพราะเนื่องจากจะหมายถึงความสำเร็จของเอสซีจีเองแล้ว ยังเป็นความร่วมมือร่วมใจของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เริ่มตั้งแต่การทำเหมืองและใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยนอกจากเอสซีจีจะรับบทบาทเป็นผู้ผลักดันคู่ค้าและพันธมิตรให้เข้าสู่โครงการอุตสาหกรรมสีเขียวแล้ว ก็ยังมีจุดเด่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจให้กับชุมชนโดยรอบ และการดูแลสิ่งแวดล้อม

ในส่วนของเหมืองแห่งแรกและแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวระดับ 5 นายวรงค์สิทธิ มารัตน์ ผู้จัดการส่วนผลิต บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด กล่าวว่า “เหมือง Semi open cut แห่งแรกในประเทศไทยก่อสร้างโดยการเจาะลงไปตรงกลางและเว้นขอบเขาเอาไว้ให้ยังเป็นธรรมชาติตามเดิม ดังนั้นเมื่อมองจากด้านล่างขอบเขาจะเหมือนเดิม แม้วิธีการนี้เสียเวลาในช่วงแรกเพื่อตัดเส้นทางขึ้นไปบนยอดเขา และยังเสียพื้นที่ในการทำเหมืองไปถึง 20% แต่ก็มีข้อดีที่เป็นวิธีที่สามารถรักษาธรรมชาติเอาไว้ให้ได้มาก อีกทั้งยังสามารถใช้ขอบเขาเป็นกำแพงกันเสียและฝุ่นไม่ให้ออกไปสู่ด้านนอก”

นอกจากนี้ เอสซีจี ได้ให้คำแนะนำกับเหมืองแม่ทาน ซึ่งเป็นคู่ธุรกิจของปูนซิเมนต์ไทยลำปางในการปรับปรุงระบบจัดส่ง เพื่อลดการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถบรรทุก โดยสามารถลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงปีละกว่า 92,000 ลิตร และลดการปล่อยก๊าซ CO₂ ปีละกว่า 248 ตัน CO₂ ผลลัพธ์คือผู้รับเหมาขนส่งสามารถใช้รถบรรทุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่จำเป็นต้องซื้อรถใหม่ อีกทั้งยังสามารถลดอุบัติเหตุในระบบการจัดส่งแร่ ปัจจุบันเหมืองแม่ทานได้รับการรับรอง Green Industry Level 2 และพัฒนาเพื่อเพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ว่ามาตรฐาน Green Industry Level 5 จะไม่ได้ระบุถึงการส่งเสริมกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า แต่    เอสซีจีมองว่าสำหรับ Green Network ที่ครอบคลุมอย่างครบวงจร dealer ก็เป็นคู่ค้าที่สมควรเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมดีๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม นางวัชรินทร์ สิริจิตราภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งหง่วงเซ้ง ไทยโฮมมาร์ท จำกัด อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นถึงความสำคัญและยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสีเขียวเล่าว่า “เราเริ่มต้นจากปัญหาขยะที่มากขึ้นจากจำนวนพนักงานที่มากขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจ และก็ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ทางเอสซีจีได้เข้ามาเสนอการทำ MOU เพื่อส่งขยะให้กับโรงงานปูนเพื่อนำมาทำเป็นเชื้อเพลิง สิ่งที่ทางร้านเราต้องทำก็คือการขัดแยกขยะเท่านั้นเอง ขยะเปียกก็เอาไปทำ EM กระดาษสำนักงานก็สามารถนำไปขายได้ ส่วนเศษแก้วน้ำ กระดาษย่อย เราก็นำมาแพคในถุง big bag และส่งกลับโรงงานปูน ตอนนี้ทางร้านก็ประหยัดค่าเก็บขยะทุกเดือนๆ อีกทั้งพนักงานยังมีจิตสำนึกในการแยกขยะที่ดี บอกได้ว่าร้านพี่ perfect มากในเรื่องของขยะ และพี่ก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อม พี่มีโครงการจะขยายแนวคิดไปสู่ร้านค้าของพี่อีกด้วย” 

ในส่วนของการพัฒนาชุมชนโดยรอบของโรงงาน นายธีรพันธ์ เมธังกูร ผู้จัดการส่วนพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด กล่าวถึงพื้นฐานในการทำ CSR ของเอสซีจี ว่า “เราจะไม่ใช้เงินนำ ชุมชนจะเป็นเจ้าของโครงการเอง โดยเอสซีจีจะไม่คิดหรือทำแทน นอกจากนี้ เราจะมองปัญหาและวิธีการแก้ไขแบบเป็นองค์รวม โดยเน้นให้ผู้เข้าร่วมทดลองลงมือทำ แล้วเก็บข้อมูล หาความจริงเพื่อเปลี่ยนคนจากความจริง โดยอ้างอิงจากข้อมูล ความจริงและผลที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังต้องมีความเข้าใจในภูมินิเวศ ภูมิสังคม ในแต่ละพื้นที่ทำงาน และที่สำคัญคือการสร้างการเรียนรู้ เพื่อผลลัพธ์สุดท้ายก็คือชุมชนที่เข้มแข็งและสามารถดำเนินโครงการต่างๆ ไปได้ด้วยตนเองและพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด”

โครงการ CSR ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากก็คือโครงการ SCG รักษ์น้ำ เพื่ออนาคต หรือฝายชะลอน้ำ ที่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ สร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่า และทำให้แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ จากความสำเร็จจากการฟื้นฟูสภาพป่า เอสซีจีได้ต่อยอดความสำเร็จกับชุมชนบ้านแป้นใต้ โดยเมื่อพบปัญหาว่าร้อยละ 90 ของคนในหมู่บ้าน มีสารพิษตกค้างในร่างกายในระดับที่เป็นอันตราย ชุมชนจึงเริ่มมองปัญหาเรื่องน้ำกับการใช้ชีวิตเป็นองค์รวม และนำกระบวนการทำงานที่ใช้กับฝายชะลอน้ำมาปรับประยุกต์ใช้กับวิถีชีวิตชุมชน ผ่านการทำงานวิจัยเรื่อง “วิถีการบริโภคอย่างยั่งยืนของบ้านแป้นใต้”

ชุมชนบ้านแป้นใต้ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคไปสู่อาหารแบบอินทรีย์ รับประทานข้าวกล้อง บริโภคผักพื้นบ้าน ชุนชนเห็นความสำคัญของอาหารจากป่า ใช้เมนูอาหารท้องถิ่นรับรองแขกแทนการเลือกซื้ออาหารที่มีราคาสูง คนทุกรุ่นในชุมชนตื่นตัวหันมาใส่ใจในสุขภาพอย่างจริงจัง เกิดชุดความรู้ด้านการดำเนินชีวิตโดยหลีกเลี่ยงสารเคมีจากอาหาร เกิดการอนุรักษ์และสืบสานวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม รวมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในชุมชนให้ก้าวไปสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืน

นางมาลี เก่งจริง คณะกรรมการหมู่บ้าน บ.แป้นใต้ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กล่าวถึงผลที่ได้รับว่า “นอกจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้สุขภาพดีขึ้น และสารเคมีในร่างกายที่ลดลง ในด้านเศรษฐกิจก็มีการเปลี่ยนแปลงที่ดี เราไม่ต้องซื้อผัก สามารถปลูกเอง และมีผักเหลือเอาไปขาย หรือแบ่งปัน ในด้านสังคม เด็กๆ รู้จักผักพื้นบ้านมากขึ้น ผู้ใหญ่ได้มีการสอนลูกหลาน ชุมชนรอบข้างก็ขอมาดูงานที่หมู่บ้านเรา”

อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 5 หรือ เครือข่ายสีเขียว (Green Network) คือการแสดงถึงการขยายเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทานสีเขียวโดยสนับสนุนให้คู่ค้าและพันธมิตรเข้าสู่กระบวนการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวด้วย โดยเอสซีจีตั้งเป้าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพัฒนาให้ได้รับการรับรอง Green Industry Level 2 ขึ้นไป หรือเทียบเท่าครบทั้ง 100% ภายในปี 2016 และ Green Industry Level 3  หรือเทียบเท่าอย่างน้อย 1 ราย ภายในปี 2016  นอกจากนั้น ยังจะก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้านงานฟื้นฟูเหมืองหินปูนในภาคเหนือ  โดยเชิญชวนกลุ่มเหมืองแร่รายย่อยให้ฟื้นฟูเหมืองอย่างถูกวิธี  ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมของไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน