- Details
- Category: CSR
- Published: Thursday, 11 April 2019 12:51
- Hits: 1747
กรมพินิจฯ ผนึกเอไอเอส เปิดโครงการญาติเยี่ยมทางไกลออนไลน์ผ่าน AIS Fibre ให้ผู้ปกครองมอบความอบอุ่น และกำลังใจแก่เยาวชนในสถานพินิจ รับวันครอบครัว
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ร่วมกับ เอไอเอส โดย เอไอเอส ไฟเบอร์ นำเทคโนโลยีเครือข่ายไฟเบอร์แท้ 100% และ Smart Messaging พร้อมระบบ Skype for Business มาประยุกต์ใช้ใน ‘โครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์’ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครอบครัวได้เยี่ยมเยียน ส่งกำลังใจถึงเยาวชนในสถานพินิจฯ ผ่านระบบออนไลน์ด้วยมือถือ โดยไม่ต้องเดินทางมาเยี่ยมถึงศูนย์ฯ เช่นที่ผ่านมา เบื้องต้นเริ่มดำเนินการนำร่องแล้ว 2 แห่ง ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน จังหวัดเชียงใหม่และราชบุรี ด้วยผลตอบรับอย่างดียิ่ง เชื่อมั่นสามารถส่งความรัก และกำลังใจจากสายใยครอบครัว ให้แก่เยาวชน พร้อมคืนคนดีกลับสู่สังคมไทยได้ในท้ายที่สุด
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของโครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์ในครั้งนี้ว่า “ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเด็กและเยาวชน คือ การให้ความสำคัญเกี่ยวกับสถาบันครอบครัว และจากปัจจัยในประเด็นนี้ กรมพินิจฯ จึงมีโครงการญาติเยี่ยมทางไกลให้กับเด็กและเยาวชนที่อยู่ในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้พบปะกับผู้ปกครองหรือญาติ ในอดีตการเยี่ยมญาติทางไกล ผู้ปกครองต้องเดินทางมายังศูนย์ฝึกฯ ซึ่งศูนย์ฝึกในแต่ละที่ค่อนข้างห่างไกล เช่น ศูนย์ฝึกฯ เขต 7 เชียงใหม่ จะดูแลพื้นที่ประมาณ 7 - 8 จังหวัด ไม่ว่าจะเป็นแม่ฮ่องสอน เชียงราย แพร่ หรือน่าน เป็นต้น หรือ ศูนย์ฝึกฯ เขต 2 ราชบุรี ที่มีพื้นที่หลายจังหวัดในความดูแลเช่นกัน ทำให้การมาเยี่ยมเด็กและเยาวชนในแต่ละครั้ง ผู้ปกครองต้องใช้ต้นทุนในการมาเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารต่างๆ ปัจจุบันเราใช้ระบบ VDO Conference ที่ทำให้การเยี่ยมญาติมีความสะดวกมากขึ้น เช่น ถ้าผู้ปกครองอยู่แม่ฮ่องสอน อยากมาเยี่ยมที่จังหวัดเชียงใหม่ เขาไม่ต้องเดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่อีกต่อไป แตเดินทางมายังสถานพินิจฯ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และนั่งในห้อง Conference ของสถานพินิจฯ จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมทั้งเชื่อมต่อด้วย Skype ไปยังศูนย์ฝึกฯ ที่เชียงใหม่ แล้วพบปะกันในระบบของ Conference หรือจอภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รับความสะดวกสำหรับผู้ปกครองที่ยังต้องเดินทางมาใช้ระบบ VDO Conference ของสถานพินิจฯ ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองของแต่ละจังหวัด
จากปัจจัยข้างต้น กรมพินิจฯ เล็งเห็นว่า เพื่อการพัฒนาระบบการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเด็กและเยาวชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ปกครองในการเยี่ยมบุตรหลาน จึงได้ร่วมมือกับ AIS ในการจัดทำ “โครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์” ขึ้น ซึ่งระบบนี้จะเป็นการให้ผู้ปกครองสามารถเยี่ยมเด็กและเยาวชนแบบระบบไร้สาย และใช้โทรศัพท์มือถือของผู้ปกครองเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเอง โดยเชื่อมต่อกับศูนย์ฝึกฯ โดยตรง ส่งผลให้ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของประเทศไทย หรือของโลก หรือผู้ปกครองติดภารกิจเรื่องการทำงานในพื้นที่ห่างไกลก็สามารถติดต่อกับบุตรหลานได้ มีตัวอย่างหนึ่งคือ มารดาของเด็กทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลี พอเรานำระบบนี้มาใช้ ทำให้มารดาของเด็กสามารถติดต่อกับเด็กได้ ทำให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้น มีโอกาสสื่อสารกันมากขึ้น และมีโอกาสสร้างความรักความผูกพันระหว่างครอบครัว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ว่าบิดามารดาไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนทั้งในและต่างประเทศก็มีโอกาสเยี่ยมเยียนเด็กและเยาวชนได้ ติดต่อกับบุตรหลานของเขาได้ โดยที่ไม่ทำให้เด็กและเยาวชนพร่องไปจากสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟู เด็กและเยาวชน ก่อนจะให้เขากลับคืนสู่สังคม
การได้รับการสนับสนุนจาก AIS ในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือที่ทางกรมพินิจฯ เอง ไม่ต้องใช้งบประมาณในการจัดทำโครงการ นอกจากนี้ การนำระบบนี้มาใช้สามารถทำให้กรมพินิจฯ อำนวยความสะดวกให้กับการบริการประชาชน และลดต้นทุนในการมาเยี่ยมบุตร ซึ่งเป็นการพัฒนาการให้บริการขององค์กรต่อประชาชน เพราะตอนนี้ เราอยู่ในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้องค์กรของเราไม่เสียโอกาสในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศไปสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0
และเนื่องจากการนำระบบนี้มาใช้ยังเป็นการทดลอง จึงดำเนินการเพียง 2 หน่วยงานในสังกัดกรมพินิจฯ คือ ศูนย์ฝึกฯ เขต 2 ราชบุรี และศูนย์ฝึกฯ เขต 7 เชียงใหม่ และจากการทำลอง พบว่า ผลตอบรับของผู้ปกครองอยู่ในระดับพึงพอใจมาก เพราะทำให้สามารถเยี่ยมเด็กและเยาวชนได้บ่อยครั้งขึ้น และลดต้นทุนต่างๆ ในการเดินทางมาเยี่ยม ในอนาคตถ้ากรมพินิจฯ มีโอกาสได้ทำความร่วมมือกับ AIS จะสามารถขยายพื้นที่ในการนำระบบนี้ไปใช้ ซึ่งกรมพินิจฯ มองว่าในเบื้องต้น น่าจะเป็นการขยายไปศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอยู่ก่อน เนื่องจากศูนย์ฝึกฯ เป็นสถานที่ที่รองรับเด็กและเยาวชนหลายๆ จังหวัด เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นความจำเป็นลำดับแรกๆ และในระยะต่อไปอาจจะต้องขยายครอบคลุมไปถึงสถานพินิจที่ควบคุมตัวเด็กและเยาวชนในระหว่างดำเนินคดีด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการให้บริการประชาชนทั่ว และส่งเสริมความรัก ความผูกพัน และอบอุ่นในครอบครัวให้กับเด็กและเยาวชนแม้จะอยู่ในสถานควบคุมก็ตาม”
ด้านนางอมรรัตน์ ชาญปรีชญา หัวหน้าส่วนงานประชาสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวถึง ความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ในฐานะผู้ให้บริการ Digital Life Service Provider เรามีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทย ทั้งเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ Mobile, อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง หรือ AIS Fibre และบริการดิจิทัล เพื่อสนับสนุนคนไทยให้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งภาครัฐและภาคเอกชน รวมไปถึง การพัฒนาและออกแบบโซลูชันเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน ดังเช่น ความร่วมมือระหว่างกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กับ AIS โดย AIS Fibre ในครั้งนี้ ที่เรายินดีสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยนำเทคโนโลยี2 ส่วน ประกอบด้วย โครงข่าย AIS Fibre และ Digital Solution เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนา “โครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์” ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ง่ายๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือของญาติที่จะสามารถโทรเข้ามาเยี่ยมได้จากทุกที่ ทั้งในและต่างประเทศ”
“โดยโครงการนี้ ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับญาติเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับแนวคิดการให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวของเอไอเอส เพราะสามารถเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ของครอบครัว เป็นสื่อกลางในการส่งมอบความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย และกำลังใจช่วยให้เยาวชนที่อยู่ในสถานพินิจมีพลังในการฟันฝ่าอุปสรรคและพัฒนาตัวเอง พร้อมกลับมาเป็นกำลังสำคัญของชาติอีกครั้ง”
ด้าน นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ เอไอเอส กล่าวถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในโครงการครั้งนี้ว่า “เราได้คัดสรรเทคโนโลยีที่ดีที่สุด เพื่อตอบความต้องการของกรมพินิจฯ ประกอบด้วย อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง ด้วยเทคโนโลยีไฟเบอร์ออพติกแท้ 100% ที่จะทำให้สัญญาณภาพในระหว่างการโทรเยี่ยมเป็นไปอย่างคมชัด เสถียร ไม่กระตุก, ระบบ Smart Messaging ที่เชื่อมต่อกับ Solutions Skype for Business ที่จะส่งแจ้งเตือนไปยังญาติๆ ให้สามารถกด Link จาก SMS ที่ได้รับแล้วโทรเข้ามาเยี่ยมบุตรหลานผ่านทางมือถือในลักษณะ VDO Call ได้ทันที ซึ่งสามารถรองรับการโทรเยี่ยมได้สูงสุดถึงครั้งละ 5 สาย พร้อมๆ กัน จากหลากหลายสถานที่ ช่วยให้ผู้ปกครองที่ไปทำงานต่างจังหวัดหรือแม้แต่ต่างประเทศสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวก รวมไปถึงชุดคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยอีกด้วย โดยจากการเริ่มเปิดใช้งานใน 2 แห่งแรกที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน จังหวัดเชียงใหม่ และราชบุรี ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 พบว่า ต่างได้รับประสบการณ์ที่ดี และความประทับใจจากบริการนี้อย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล, ผู้ที่ต้องทำงานอยู่ต่างประเทศ ที่สามารถส่งมอบกำลังใจแก่บุตรหลานได้อย่างสะดวกสบายกว่าที่ผ่านมา”
สำหรับ ขั้นตอนการเยี่ยมเยาวชนผ่าน ‘โครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์’ ประกอบด้วย
-ก่อนจะใช้งานได้ ผู้ปกครองจะต้องลงทะเบียนรับการตรวจสอบ เพื่อยืนยันการเป็นผู้ปกครองโดยกรมพินิจฯ และดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Skype for Business ผ่าน Apple iTunes หรือ PLAY STORE
-ทุกครั้งที่ต้องการเยี่ยมญาติ ผู้ปกครองจะต้องทำการนัดหมาย กำหนดวัน-เวลา ในการเยี่ยมเยาวชนกับ กรมพินิจฯ
-รอรับ LINK จาก SMS จากนั้นกดโทรผ่าน LINK ก็จะเข้าสู่ระบบ “ญาติเยี่ยมทางไกลออนไลน์” ในลักษณะ VDO Call ได้ทันที
“โครงการญาติเยี่ยมทางไกลผ่านระบบออนไลน์” เปิดตัวรับวันครอบครัว เพื่อให้ได้ร่วมเป็นกำลังใจให้กับน้องๆ เยาวชนที่อาจจะทำผิดพลาดไป โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งต่อโอกาส กำลังใจ ความอบอุ่น และสนับสนุนให้พร้อมกลับมาเป็นพลเมืองคุณภาพของประเทศไทยต่อไป และถือเป็นตัวอย่างการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐ ก็คือ กรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนและเอกชน อย่าง AIS โดย AIS Fibre ที่แข็งแรง สร้างประโยชน์ สอดคล้องกับนโยบายสานพลังประชารัฐของรัฐบาลอย่างชัดเจน”นายสหการณ์ กล่าวในตอนท้าย
DJOP partners with AIS to introduce "Online Distance Visiting Relatives" project via AIS Fibre
Offering parents warmth and the chance to cheer up juveniles at DJOP on Family Day
The Department of Juvenile Observation and Protection (DJOP) has partnered with AIS in applying a 100% pure Fibre Optic connection with Smart Messaging and Skype for Business technologies to develop the’Online Distance Visiting Relatives’ project. This makes it convenient for families to visit with and cheer up their children at the DJOP via smartphone.
The DJOP is pioneering the project at the two child and youth training centers in Chiang Mai and Ratchaburi provinces, and the response has been very good. The department is confident that the project can eventually deliver love and good cheer from the family to the juveniles and return good people to society.
Speaking at the inception of the “Online Distance Visiting Relatives" project, DJOP's Director-General Mr. Sahakarn Petchnarin explained: “A key factor in the treatment, improvement and rehabilitation of juveniles is the family institute. The DJOP has therefore created the Online Distance Visiting Relatives program for juveniles at its Child and Youth Training Centers. The project allows them to meet in real time parents or relatives who live far away. In the past, the parents had to travel to the centers if they wanted to visit their children.”
The Child and Youth Training Center, District 7, Chiang Mai is responsible for 7-8 provinces including Mae Hong Son, Chiang Rai, Phrae and Nan. The Child and Youth Training Center, District 2, Ratchaburi, meanwhile, also covers many provinces. Each time they visited their children at the centers, parents had to spend for travel, accommodation and food. Now if parents in Mae Hong Son want to visit their children at the center in Chiang Mai, they just come to a computer room at the Mae Hong son center and Skype the center in Chiang Mai, speaking to their children via an online conference system.
With the aim of making treatment and rehabilitation more effective while provide convenience to parents when visiting their children, the DJOP has partnered with AIS to deliver the Online Distance Visiting Relatives project. This system will enable the parents to visit their children through a wireless system. Parents can directly contact their children via smartphone anywhere and at any time, no matter where they are.
Parents can communicate with their children even though they are working in remote areas.
For example, if a mother is working in South Korea, this system will enable her to contact her child. The result is closer relations with the family, better communications and an opportunity to create love and strengthen relationships among the family members. Now, the parents can contact their children wherever they are without losing them from the family institute. This is considered crucial to improving, treating, and rehabilitating the juveniles before they return to society.
Thanks to the partnership with AIS, the DJOP has not had to spend any of its budget on the project. In addition, the system enables the DJOP to provide a more convenient service to the public and reduce costs incurred in visiting the children. The project is good for the organization as it brings it into the digital technology era. In addition to the development of the IT system, Big Data is adopted for data analysis. Furthermore, the DJOP under the supervision of the Ministry of Justice, is moving forward with its IT development, in line with the government's Thailand 4.0 policy.
The trial at the two child and youth training centers has gained high levels of satisfaction from the parents and generated a lot of interest in the project, as it has allowed them to visit with their children more frequently while reducing their travel costs.
In the future, if the DJOP has an opportunity to join with AIS, the department will be able to expand the online service into other areas. In the beginning, the system is expected to connect all child and youth training centers nationwide and this is the first priority.
In a later stage, the system will be expanded to cover the Juvenile Observation and Protection Centers which observe the juveniles during the legal process. Its aim is to improve services for the public and promote love and strengthen relationships as well as build warmth among the families even though the youth are still held in the centers.
Mrs. Amornratana Charnpreechaya, Head of Public Relations at AIS said: “As the country's leading digital life service provider, we are determined to develop the digital infrastructure of mobile and internet high-speed broadband or AIS Fibre networks, as well as digital services to support Thais in enjoying maximum efficiency in their digital lifestyles. In addition to strengthening the public and private sectors, AIS also develops and designs solutions to meet the demands of each organization. The partnership between AIS Fibre and the DJOP is a case in point. We're glad to provide this support by deploying AIS Fibre network and Digital Solution to develop the "Online Distance Visiting Relatives" project. The parents can easily visit the children via their mobile phones from anywhere, both inside and outside the country".
Mrs. Amornratana pointed out that not only does the system save time and the expenses required for visiting the youth, but the project is in line with AIS' belief of the importance of the family institute. The project can strengthen the family bond and act as a medium to send love, warmth, care and good cheers to the youngsters at the Juvenile Observation and Protection Center. This can make them overcome obstacles and develop themselves as they prepare to return to society and become part of the crucial workforce of the nation.
Mr. Saran Phaloprakarn, Head of Fixed Broadband at AIS, added: “We chose the best technologies to meet the needs of the DJOP which comprise high-speed internet broadband with a 100% pure fibre optic. It delivers a clear and stable image signal and Smart Messaging System, which connects Skype Solutions for business. Parents will receive notifications via an SMS to press Link. Then, they can talk to their children in form of a VDO call via smartphone. The system can support a maximum of 5 visiting calls simultaneously from various locations. The system and the set of advanced computers allow parents working in the provinces or overseas to get the service conveniently. Since the introduction of the service at the two centers in Chiang Mai and Ratchaburi in February 2019, the parents or elderly relatives in remote areas and those working abroad have all been able to cheer up their children conveniently.”
Steps for the use of the Online Distance Visiting Relatives service
- Before using the system, parents have to register and get verification from the DJOP. They can then download the Skype for Business application via the iTUNE or PLAY STORE
- Every time they wish to visit the youth, the parents have to make an appointment (day and time) with the DJOP
- When the parents get the LINK via SMS, they can press the LINK to enter the system in the form of a VDO call
"The "Online Distance Visiting Relatives" project has been introduced to mark Family Day. It plays a role in cheering up youth who have made mistakes by adopting technology that opens opportunities for sending good wishes and warmth and supports them to return as quality members of society. The project is a good example of the strong partnership between a government agency, the DJOP, and the private sector by AIS Fibre, which brings benefits to society and is in line with the government's Palang Pracharath policy, which is the public-private partnership model,” Mr. Saran concluded.
Click Donate Support Web