- Details
- Category: กรมสรรพสามิต
- Published: Monday, 08 September 2014 22:17
- Hits: 3179
‘สรรพสามิต’โยนรมว.คลังคนใหม่ชี้ขาด รีดเพิ่มภาษีบาป-ชาเขียว
แนวหน้า : 'ปลัดคลัง'เตรียมชง รมว.คลังคนใหม่ เคาะแผนปี’58 ในสัปดาห์นี้ โดยวางเป้าหมายให้ครอบคลุม 3 ด้าน ส่วน 'สรรพสามิต'เดินหน้าเสนอแผนปฏิรูปภาษี-แก้กฎหมาย
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า สำหรับแผนงานของกรมสรรพสามิต ที่เสนอให้ รมว.คลังคนใหม่พิจารณาเห็นชอบ มีเรื่องที่ต้องการดำเนินการ 2 เรื่องที่สำคัญ คือ การปฏิรูปภาษีสรรพสามิต และการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การบริการและการเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับ การปฏิรูปภาษี เรื่องการเก็บภาษีเครื่องดื่ม ทั้งชาเขียว กาแฟพร้อมดื่ม และน้ำผลไม้ หากรมว.คลังคนใหม่ เห็นชอบก็พร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที เพราะมีการศึกษาแนวทางไว้หมดแล้ว ในส่วนของชาเขียว และกาแฟพร้อมดื่ม ก็จะถอดออกจากเครื่องดื่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต ส่วนน้ำผลไม้ก็อาจจะปรับส่วนผสมให้เป็นมาตรฐานสากล จากปัจจุบันกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีเครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมไม่น้อยกว่า 10% ก็จะปรับเพิ่มให้เป็น 30 หรือ 50% หากไม่ถึงก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ รมว.คลัง เก็บภาษีบาป ทั้งภาษีบุหรี่ สุรา เบียร์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการปกป้องสังคม และป้องกันสุขภาพประชาชนที่ผู้บริโภค เพราะการเพิ่มอัตราภาษีทำให้การเข้าถึงสินค้าดังกล่าวยากขึ้นหรือลดลง
นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของการแก้ไขกฎหมายสรรพสามิต จะมีการรวมกฎหมาย 7 ฉบับ ให้เหลือฉบับเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดเก็บภาษี โดยจะมีการเปลี่ยนฐานราคาเก็บภาษีจากราคาหน้าโรงงานเป็นราคาขายปลีก เพื่อให้การเก็บภาษีที่ผลิตในประเทศและนำเข้าเป็นมาตรฐานเดียวกันไม่ได้เปรียบเสียเปรียบ นอกจากนี้จะได้แก้ปัญหาการแจ้งราคาหน้าโรงงานหรือราคานำเข้าต่ำกว่าเป็นจริง
ทางด้านแหล่งข่าว กระทรวงการคลัง กล่าวว่า นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอแผนการดำเนินงานของ กระทรวงการคลังปี 2558 ให้ นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง พิจารณาเห็นชอบในสัปดาห์นี้ โดยแผนการดำเนินงานประกอบด้วยเป้าหมาย 3 ด้าน คือ 1.ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสังคม 2.สนับสนุนศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ 3.รักษาความยั่งยืนทางการคลัง
สำหรับ ในด้านแรก การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย 3 ภารกิจที่สำคัญ คือ ภารกิจที่ 1 การเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนฐานราก โดยจะมีการออกมาตรการแก้ไขหนี้นอกระบบ มาตรการ สินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ การออกพันธบัตรออมทรัพย์เพื่อให้รายย่อยออมเงินได้อัตราผลตอบแทนสูง รวมถึงการแก้ออก พ.ร.บ.ทวงถามหนี้เป็นธรรม ด้านภารกิจที่ 2 สร้างสวัสดิการพื้นฐานให้ทั่วถึงมีคุณภาพ จะมีการดำเนินการ กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างหลักประกันหลังเกษียณให้กับแรงงานนอกระบบ 35 ล้านคน และภารกิจที่ 3 การปฏิรูปกลไกกระจายรายได้และทรัพย์สิน โดยจะมีการนำที่ราชพัสดุมาพัฒนาให้คนรายได้น้อยเช่าอยู่อาศัย และทำกินมากขึ้น
ขณะที่ด้านที่สอง การสนับสนุนศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน มี 3 ภารกิจ ได้แก่ ภารกิจที่ 1 สนับสนุนการจัดตั้งธุรกิจการพัฒนาเอกชนให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ภารกิจที่ 2 เชื่อมโยงธุรกิจเพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจภูมิภาค หรือการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) และ ภารกิจที่ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยต้องเร่งการลงทุนของประเทศสนับสนุนให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐ (PPP) และการตั้ง กองทุนอินฟาร์สตัคเจอร์ฟันด์ เพื่อลดภาระงบประมาณและเงินกู้
ด้านที่สาม การรักษาความยั่งยืนทางการคลัง มีภารกิจที่สำคัญ 3 ด้าน ในด้านที่ 1 เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านการคลัง จะมีการปฏิรูปภาษีของ กรมสรรพากร การเก็บภาษีที่ดิน การเก็บภาษีมารดก การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้มีการขยายฐานภาษีใหม่เพิ่ม ให้กรมศุลกากรศุลกากรเพิ่มประสิทธิภาพเก็บภาษี และให้กรมสรรพสามิตปรับบริหารจัดการเก็บภาษีให้เป็นสากลมากขึ้น
ด้านภารกิจที่ 2 ส่งเสริมความโปร่งใสการดำเนินงานของภาครัฐ โดยให้กรมบัญชีกลางปรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้โปร่งใสมากขึ้น และภารกิจที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกระทรวงการคลัง โดยให้มีการปรับปรุงระบบไอทีของกรมจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มความสามารถการเก็บภาษีและอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษีมากขึ้น
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า นอกจากแผนการดำเนินงานปี 2558 ของกระทรวงการคลังแล้ว นายรังสรรค์ ยังได้เตรียมแผนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ให้ได้ 2% ตามนโยบายของ รมว.คลัง คนใหม่ โดยมาตรการที่เสนอจะเป็นมาตรการใหม่ มีทั้งมาตรการทางการเงิน และมาตรการภาษี เสนอให้ นายสมหมาย เห็นชอบ แต่ต้องรอนโยบายจากนายสมหมายด้วย ว่าจะมีมาตรการให้เพิ่มเติมจากฝ่ายนโยบายหรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับปรุงมาตรการกระตุ้นให้รอบคอบอีกครั้ง และเสนอให้นายสมหมาย เห็นชอบเพื่อผลักดันออกมาปฏิบัติในช่วงเวลาที่เหลือ 3 เดือนของปีนี้
สรรพสามิตหารือคลัง ลุยรีดภาษีเครื่องดื่ม
ไทยโพสต์ * สรรพสามิตตั้งท่าเสนอ'สมหมาย'รีดภาษีสารพัดเครื่องดื่ม ยังไม่ฟันตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าควบรวมกฎหมาย หนุนศักยภาพจัดเก็บ
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้เตรียมแผนงานของกรมสรรพสามิตเสนอให้ นายสมหมาย ภาษี รมว.การคลัง พิจารณาเห็นชอบ ซึ่งมีเรื่องที่ต้องการดำเนินการ 2 เรื่องที่สำคัญ คือ การปฏิรูปภาษีสรรพสามิต และการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การบริการและการเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับการปฏิรูปภาษี เรื่อง การเก็บภาษีเครื่องดื่ม ทั้งชาเขียว กาแฟพร้อมดื่ม และน้ำผลไม้ หาก รมว.การคลังคนใหม่เห็นชอบก็พร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที เพราะมีการศึกษาแนวทางไว้หมดแล้ว ในส่วนของชาเขียวและกาแฟ ก็จะถอดออกจากเครื่องดื่มที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต ส่วนน้ำผลไม้ก็อาจจะปรับส่วนผสมให้เป็นมาตรฐานสากล จากปัจจุบันกรมสรรพสามิตยกเว้นภาษีเครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมไม่น้อยกว่า 10% ก็จะปรับเพิ่มให้เป็น 30 หรือ 50% หากไม่ถึงก็ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอให้ รมว.การคลัง เก็บภาษีบาป ทั้งภาษีบุหรี่ สุรา เบียร์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการปกป้องสังคม และป้องกันสุขภาพประชาชนผู้บริโภค เพราะการเพิ่มอัตราภาษีทำให้การเข้าถึงสินค้าดังกล่าวยากขึ้นหรือลดลง ขณะที่การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะมีการเสนอให้ รมว.การคลังพิจารณา แต่ไม่ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับการปฏิรูปภาษีทั้งหมด ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะทำให้กรมสามารถจัดเก็บภาษีเพิ่มมากขึ้นเท่าไร ขึ้นอยู่ว่าจะเก็บสินค้าใดบ้างและเก็บในอัตราเท่าไร
"ในส่วนของการแก้ไขกฎหมายสรรพสามิต จะมีการรวมกฎหมาย 7 ฉบับ ให้เหลือฉบับเดียว โดยจะมีการเปลี่ยนฐานราคาเก็บภาษีจากราคาหน้า โรงงานเป็นราคาขายปลีก นอก จากนี้จะได้แก้ปัญหาการแจ้งราคาหน้าโรงงานหรือราคานำเข้าต่ำกว่าเป็นจริง" นายสมชายกล่าว
นายสมชาย กล่าวอีกว่า การ รวมกฎหมายดังกล่าว ยังให้ความสำคัญกับการบริการผู้เสียภาษีให้มากขึ้น ตามนโยบายของ รมว.การคลังคนใหม่ ที่ต้องการให้ผู้มารับบริการทางภาษีรู้สึกที่ดีไม่ได้กลัวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมสรรพสามิตดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ภายใต้โครงการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เสียภาษี ส่วนการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาล หากมีนโยบายลงมา กรมสรรพสามิตก็พร้อมดำเนินการ โดยการปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและเบนซินที่ผ่านมา ทำให้กรมสรรพสามิตมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 5 พันล้านบาท.