- Details
- Category: กรมสรรพากร
- Published: Monday, 20 October 2014 23:58
- Hits: 2606
สรรพากร รีดภาษีอี-คอมเมิร์ซ 9 หมื่นราย ฟุ้งครึ่งเดือนต.ค.1.4 พันล.
แนวหน้า : นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้เรียกผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อี-คอมเมิร์ซ) มาหารือถึงแนวทางการเสียภาษีให้ถูกต้อง เนื่องจากที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ยังไม่มีความเข้าใจถึงการเสียภาษี หรือบางรายมีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี เช่น การปิดบัญชีเงินฝาก การเปลี่ยนชื่อธุรกิจ นิติบุคคลใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย โดยในปี 2556 มีรายย่อยที่ยังขาดความเข้าใจในการเสียภาษีมากถึง 9 หมื่นราย หรือคิดเป็น 58% ของผู้ประกอบการรายย่อยทั้งหมด 1.55 แสนราย คิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 7.44 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ การเรียกผู้ประกอบการมาชี้แจง เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจกระบวนการทำธุรกิจ และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการทำธุรกิจและการเสียภาษีให้ถูกต้อง ไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตกรณีไม่เสียภาษี แล้วถูกตรวจพบ อาจจะเกิดปัญหาสภาพคล่องกับธุรกิจได้ เนื่องจากกรมมีข้อมูลผู้ประกอบการทั้งหมด โดยเฉพาะการทำธุรกิจ ที่มีการโอนรายได้เข้าบัญชี จะสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน กรมก็จะส่งจดหมายถึงผู้ประกอบการที่ไม่เสียภาษี มาดำเนินการให้ถูกต้อง และขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการให้นำป้ายโฆษณาบนเว็บไซต์ หรือแบนเนอร์ของกรมไปขึ้นหน้าเว็บไซด์เพื่อเชื่อมโยงการให้ข้อมูลด้วย
"ในปี 2555 มูลค่าการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท แต่ในปี 2556 ขยายตัวเป็น 7 แสนล้านบาท หรือโตกว่า 20% สะท้อนให้เห็นการขยายตัวที่รวดเร็ว แต่ก็ยังพบว่า มีผู้ที่ยังขาดความรู้ในการเสียภาษีที่ถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ที่กรมต้องให้แนวทางปฏิบัติ ซึ่งคาดว่าในปี 2558 จะมีผู้เข้าระบบเพิ่มอีก 20-30%"นายประสงค์ กล่าว
นายประสงค์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.บีทูจี คือ ธุรกิจที่ทำกับรัฐบาล คิดเป็นประมาณ 100 ราย หรือ 45% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งระบบ 2.บีทูบี คือ ซื้อขายระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง มีประมาณ 10,000 ราย หรือคิดเป็นมูลค่าการซื้อขาย 30-40% แต่ทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวไม่ค่อยพบปัญหา เมื่อเทียบกับ กลุ่มที่ 3 คือ บีทูซี เป็นธุรกิจกับลูกค้า โดยกลุ่มนี้มีสัดส่วน 16% และส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ที่ไม่ได้เข้ามาระบบภาษี
นายประสงค์ กล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2558 ช่วง 15 วันแรกของเดือนต.ค.นี้ พบว่าสามารถจัดเก็บได้สูงกว่าเป้าของเดือนไปแล้ว 1,400 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ทำให้คาดว่าทั้งปีงบประมาณการจัดเก็บรายได้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการบริโภค เช่น การลงทุนภาครัฐและเอกชน การอัดฉีดเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้