- Details
- Category: คลัง
- Published: Wednesday, 13 August 2014 23:49
- Hits: 2898
สบน.แย้มแหล่งเงินพัฒนาฯ 2.4 ล้านล.
บ้านเมือง : นายสุวิชญ โรจนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงแผนการบริหารจัดการเงินเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ 5 ด้าน มูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท ว่า ตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำหนดให้ต้องจัดสรรเงินภายใน 30 วัน โดยทาง คสช. ได้มอบหมายให้ สบน.จัดทำแผนงานเสนอ 2 ชุด ทั้งแผนด้านการเงิน และแผนด้านยุทธศาสตร์ โดยจะมีการประชุมร่วมกันอีกครั้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ คสช. ต้องการให้งบประมาณปี 2558 ผ่านออกมาเรียบร้อยเสียก่อน เพื่อที่จะรู้รายละเอียดว่างบประมาณรายจ่ายปี 58 ใช้ดำเนินโครงการลงทุนอะไรบ้าง และจำนวนเท่าใด โดย คสช.เห็นว่าเมื่อมีงบประมาณก็ให้ใช้เงินจากงบประมาณประจำปีไปก่อน จะได้ไม่ต้องไปจัดหาแหล่งเงินกู้ ซึ่งทำให้วิธีการใช้เงินเพื่อสนับสนุนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การลงทุนดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปจากที่ผ่านมา ที่จะเน้นการกู้เงินเพื่อลงทุนเป็นหลัก
"วิธีการหาเงินลงทุนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน ดังกล่าว แตกต่างจากเมื่อก่อน ที่จะเน้นการกู้เงินเป็นหลัก แต่ตอนนี้จะเอางบประมาณมาใช้ก่อน ส่วนที่เหลือค่อยไปกู้ โดยทำให้ต้องมีการจัดอันดับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่มีความสำคัญๆ ก่อน และโครงการส่วนที่เหลือจึงไปจัดหาแหล่งเงินด้วยการกู้ยืม เช่น โครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีแดง และสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย เป็นต้น
นายสุวิชญ กล่าวต่อว่า แผนการลงทุนโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ทั้งหมด อยู่ภายใต้เป้าหมายการจัดทำงบประมาณสมดุล ในปี 2560 อย่างไรก็ตาม จากการประเมินตามแผนในปี 2559 ไทยก็ยังคงต้องจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลอยู่ ซึ่งหากรัฐบาลในช่วงเวลานั้นเข้ามาบริหารก็ต้องพิจารณาว่าจะจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบใดต่อไปในปี 2560 จะคงเป้าหมายการเข้าสู่งบประมาณสมดุลอยู่หรือไม่ หรือจะจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อไปอีก
"ถ้ารัฐบาลในช่วงเวลานั้นเห็นว่าต้องการเข้าสู่เป้าหมายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบสมดุลในปี 2556 ก็สามารถทำได้ แต่ก็จะต้องหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5 ด้าน วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทก่อน แล้วไปปรับลดงบลงทุนในด้านอื่นๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่าลงไป อีกทั้งต้องพิจารณาถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ ด้วย" นายสุวิชญ กล่าว