WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

GFIMSก.คลัง จัดสัมมนาหนุนปี 59 เป็นปีทองการลงทุนไทยลดพึ่งอุปสงค์ภายนอก-สร้างสมดุลโครงสร้างศก.

    กระทรวงการคลัง จัดสัมมนาส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 เมื่อวานนี้ (4 ก.พ.) เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจของมาตรการและนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนให้ปี 2559 เป็นปีทองแห่งการลงทุนของประเทศไทย และแนวนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนของประเทศอื่นๆ

    นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากพิจารณาตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 พบว่า เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 เศรษฐกิจไทยก็ยังคงเผชิญกับแนวโน้มปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินของโลกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1. เศรษฐกิจโลกที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และยังเปราะบาง 2.ความผันผวนของตลาดการเงินโลกซึ่งมีสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกัน 3.ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร

    ดังนั้น ปี 2559 จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยลดการพึ่งพิงจากอุปสงค์ภายนอกประเทศ และเกิดความสมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย

    ด้านนายกฤศ จันทร์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวถึงทิศทางนโยบายอุตสาหกรรมไทยในอนาคตจะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีการกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนโดยมุ่งสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สมดุลและยั่งยืน ดังนี้ 1.การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบคลัสเตอร์และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 2.พัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมรวมถึงวิสาหกิจชุมชน 3.ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านผลิตภาพภาคอุตสาหกรรมของไทยจากอันดับปัจจุบันที่ 51 ไปสู่อันดับที่ 45 ขึ้นไป ตามการจัดลำดับประเทศของ IMD พร้อมกับขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมโดยมุ่งสู่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

    นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาภาครัฐทั้งกระทรวงการคลังและ BOI ได้ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้ โดยผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษี ซึ่ง BOI มีนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนหลายรูปแบบ คือ 1.การให้สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการ 2.การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของกิจการ 3.สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเชิงพื้นที่

   4.สิทธิประโยชน์สำหรับ SMEs 5.มาตรการเร่งรัดการลงทุน 6.มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้ ได้มีการยกตัวอย่างการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนผ่านเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นการให้สิทธิประโยชน์ในเชิงพื้นที่ร่วมกับเป็นการให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของกิจการ

    ด้าน น.ส.สุมาลี สถิตชัยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน ทางกระทรวงการคลังได้จัดทำมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ดังนี้

     1) สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมกิจการ SMEs แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ มาตรการด้านการเงินและมาตรการด้านภาษี สำหรับมาตรการทางการเงินประกอบด้วยโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs (Soft Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme และมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านการร่วมลงทุนโดยจัดตั้งเป็นกองทุนร่วมลงทุน ในส่วนของมาตรการด้านภาษีประกอบด้วย การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs เหลือร้อยละ 10 เป็นเวลา 2 รอบระยะเวลาบัญชี มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 รอบระยะเวลาบัญชีสำหรับกิจการ New Start-up

    2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ (1)  มาตรการหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่าสำหรับการลงทุนในทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจของกิจการ (2) มาตรการหักค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาได้ 3 เท่าและ (4) มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยการยกเว้นภาษีสรรพสามิต อากรขาเข้า (หากมี) ภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้สามารถหักค่าเสื่อมได้เต็มจำนวน สำหรับรถยนต์ต้นแบบที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะในประเทศไทย

    3) สิทธิประโยชน์ในการลงทุนใน New Growth Engine สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมตลอดจนการให้แรงจูงใจทางการเงินสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

      4) สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับการลงทุนโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการลงทุนใน AEC โดยให้สิทธิประโยชน์สำหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนเป็นการทั่วไปหากไม่ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และสิทธิประโยชน์ในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC)

   นายชาญวิทย์ นาคบุรี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีทองแห่งการลงทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าต่อไปของภาครัฐวิสาหกิจ มีดังนี้ 1.ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 58 เห็นชอบงบลงทุนประจำปีงบประมาณ 2559 วงเงินเบิกจ่ายจำนวน 593,167 ล้านบาท โดยภาครัฐวิสาหกิจมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย 2.รัฐบาลได้มีมาตรการ PPP Fast Track เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการจาก 25 เดือนลดเหลือ 9 เดือน และขจัดปัญหาการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาล โดยโครงการที่ภาคเอกชนร่วมลงทุนกับรัฐบาลผ่านมาตรการ PPP Fast Track ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 2 สาย (สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี) 3.กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) เพื่อการระดมเงินทุนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการที่มีความเสี่ยงสูง (Green Field Project) และโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ (Brown Field Project) รวมทั้งเป็นการลดภาระเงินลงทุนของภาครัฐ

                        อินโฟเควสท์

การสัมมนาส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 (2016 The Year of Investment Seminar) 

          กระทรวงการคลังได้จัดการสัมมนาส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจของมาตรการและนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนให้ปี 2559 เป็นปีทองแห่งการลงทุนของประเทศไทย และแนวนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนของประเทศอื่นๆ การสัมมนาแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงเช้าเป็นการเสวนาในหัวข้อมาตรการและนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 (2016 The Year of Investment Seminar) และช่วงบ่ายเป็นการบรรยายของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก ในเรื่องแนวนโยบายในการส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion and Policy) โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากภาครัฐและเอกชนประมาณ 200 คน

       นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนาว่า หากพิจารณาตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558  พบว่า เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตามในปี 2559 เศรษฐกิจไทยก็ยังคงเผชิญกับแนวโน้มปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจและการเงินของโลกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ (1) เศรษฐกิจโลกที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และยังเปราะบาง (2) ความผันผวนของตลาดการเงินโลกซึ่งมีสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกัน (3) ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ดังนั้น ปี 2559 จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยลดการพึ่งพิงจากอุปสงค์ภายนอกประเทศและเกิดความสมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย

     การเสวนาในช่วงเช้าหัวข้อ มาตรการและนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนในปี 2559 (2016 The Year of Investment Seminar)” ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ได้แก่ (1) นายกฤศ จันทร์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพของประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (2) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) (3) นายชาญวิทย์ นาคบุรี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (4) นางสาวสุมาลี สถิตชัยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สรุปประเด็นการสัมมนาได้ ดังนี้

    นายกฤศ จันทร์สุวรรณ กล่าวถึงทิศทางนโยบายอุตสาหกรรมไทยในอนาคตจะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีการกำหนดทิศทางในการขับเคลื่อนโดยมุ่งสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สมดุลและยั่งยืน ดังนี้ (1) การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในรูปแบบคลัสเตอร์และ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (2) พัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมรวมถึงวิสาหกิจชุมชน (3) ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านผลิตภาพภาคอุตสาหกรรมของไทยจากอันดับปัจจุบันที่ 51 ไปสู่อันดับที่ 45 ขึ้นไป ตามการจัดลำดับประเทศของ IMD พร้อมกับขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมโดยมุ่งสู่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

    นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาภาครัฐทั้งกระทรวงการคลังและ BOI ได้ออกมาตรการเพื่อส่งเสริมการลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยผู้ประกอบการสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ได้ โดยผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจะได้สิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษี ซึ่ง BOI มีนโยบายในการส่งเสริมการลงทุนหลายรูปแบบ คือ (1) การให้สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการ (2) การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของกิจการ (3) สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเชิงพื้นที่ (4) สิทธิประโยชน์สำหรับ SMEs (5) มาตรการเร่งรัดการลงทุน (6) มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ทั้งนี้ ได้มีการยกตัวอย่างการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนผ่านนโยบายส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ และนโยบายการส่งเสริมการลงทุนผ่านเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นการให้สิทธิประโยชน์ในเชิงพื้นที่ร่วมกับเป็นการให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของกิจการ

    นางสาวสุมาลี สถิตชัยเจริญ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน ทางกระทรวงการคลังได้จัดทำมาตรการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ดังนี้

    1) สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมกิจการ SMEs แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ มาตรการด้านการเงินและมาตรการด้านภาษี สำหรับมาตรการทางการเงินประกอบด้วยโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs (Soft Loan) โครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme และมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านการร่วมลงทุนโดยจัดตั้งเป็นกองทุนร่วมลงทุน ในส่วนของมาตรการด้านภาษีประกอบด้วย การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs เหลือร้อยละ 10 เป็นเวลา 2 รอบระยะเวลาบัญชี มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 รอบระยะเวลาบัญชีสำหรับกิจการ New Start-up

    2) มาตรการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่ (1)  มาตรการหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่าสำหรับการลงทุนในทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจของกิจการ (2) มาตรการหักค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาได้ 3 เท่าและ (4) มาตรการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะยานยนต์ต้นแบบในภูมิภาค โดยการยกเว้นภาษีสรรพสามิต อากรขาเข้า (หากมี) ภาษีมูลค่าเพิ่ม และให้สามารถหักค่าเสื่อมได้เต็มจำนวน สำหรับรถยนต์ต้นแบบที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาเพื่อการวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะในประเทศไทย

   3) สิทธิประโยชน์ในการลงทุนใน New Growth Engine สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมตลอดจนการให้แรงจูงใจทางการเงินสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

    4) สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับการลงทุนโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการลงทุนใน AEC โดยให้สิทธิประโยชน์สำหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนเป็นการทั่วไปหากไม่ได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และสิทธิประโยชน์ในการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (ITC)

    นายชาญวิทย์ นาคบุรี กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีทองแห่งการลงทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าต่อไปของภาครัฐวิสาหกิจมีดังนี้ (1) ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 58 เห็นชอบงบลงทุนประจำปีงบประมาณ 2559 วงเงินเบิกจ่ายจำนวน 593,167 ล้านบาท โดยภาครัฐวิสาหกิจมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย (2) รัฐบาลได้มีมาตรการ PPP Fast Track เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการจาก 25 เดือนลดเหลือ 9 เดือน และขจัดปัญหาการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนกับรัฐบาล โดยโครงการที่ภาคเอกชนร่วมลงทุนกับรัฐบาลผ่านมาตรการ PPP Fast Track ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 2 สาย (สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี)  (3) กองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) เพื่อการระดมเงินทุนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการที่มีความเสี่ยงสูง (Green Field Project) และโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ (Brown Field Project) รวมทั้งเป็นการลดภาระเงินลงทุนของภาครัฐ

   สำนักนโยบายภาษี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3511 โทรสาร 0 2273 908-กระทรวงการคลัง

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!