WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Cกฤษฎา จนะวจารณะส่งออกยังเดี้ยง เหตุคู่ค้าเจอปัญหาน้ำมันราคาดิ่ง-ลุ้นท่องเที่ยวเม็ดเงินรัฐช่วยพยุง คลังสารภาพศก.ไทยซึมอีกปี

    แนวหน้า : คลังยอมจำนน สารพัดปัจจัยลบรุมถล่มเศรษฐกิจไทย ปี'59 ทั้งเรื่องราคาน้ำมันตกต่ำ ศก.โลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ชัดเจน กดดันส่งออกไทย อยู่ในระดับ 0% ลุ้นเม็ดเงินลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยวช่วยพยุง ด้าน ม.หอการค้าไทย เผยกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี เชื่อศก.ไทยจะดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ชี้โครงการเมกะโปรเจกท์ ต้องเกิดภายในไตรมาส 1 พร้อมเร่งบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง

     นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ได้ประมาณการ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2559 คาดว่าจะขยายตัว 3.7% ต่อปี ช่วงคาดการณ์ 3.2-4.2% จากประมาณการเดิมเมื่อต.ค. 2558 ว่าขยายตัว 3.8% ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยคาดว่าภาคส่งออกขยายตัวเพียง 0.1% ต่อปี จากคาดการณ์เดิม 3.2% ต่อปี

     อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการให้เงินกองทุนหมู่บ้านละ 5 แสนบาท วงเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท และการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง และกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปี 2559 ที่เพิ่มขึ้น

    "แม้ว่า จีดีพีที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% จะลดลงจากประมาณก่อนหน้าที่ 3.8% เนื่องจากเป้าหมายการส่งออกมีการปรับลดลง เหลือ 0.1% จากเดิมที่คาดขยายตัว 3.2% จากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตามยังมีในส่วนของตัวที่เข้ามาชดเชย คือ การลงทุนของรัฐที่จะมี เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ โดยการบริโภคภาครัฐในปีนี้ คาดจะอยู่ที่ 2.462 ล้านล้านบาท การลงทุน 936,000 ล้านบาท ทำให้มีรายจ่ายภาคสาธารณะอยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท" นายกฤษฎา กล่าว

    ทั้งนี้ การประมาณการเศรษฐกิจล่าสุด ของ สศค. ได้คำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ โดยการประมาณการครั้งนี้ อยู่บนสมมุติฐานเศรษฐกิจของ 15 ประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยขยายตัวได้ 3.56% ราคาน้ำมัน 35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 37.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% การใช้จ่ายเงินจากงบประมาณ 3.4 ล้านล้านบาท และจำนวนนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่มี 29.9 ล้านคน ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มในปี ที่ผ่านมารวมถึงปีนี้ด้วย

    "คลังไม่ได้หั่นเป้าเศรษฐกิจลดลง การประมาณการ เศรษฐกิจเป็นการคาดการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่ง ตอนนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนได้ชัดเจน จากมาตรการของภาครัฐทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุนดีขึ้น"นายกฤษฎา กล่าวว่า

    นายกฤษฎากล่าวอีกว่า ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.8% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ 0.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง

    นอกจากนี้ ยังการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ในเกณฑ์สูงยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการสนับสนุนการ ขยายตัวด้วย ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้ม ฟื้นตัวจากปีก่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของภาครัฐ ประกอบกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย จะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ ครั้งก่อน สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 อยู่ที่ติดลบ 0.9% ลดลงจากปีก่อนหน้าตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ลดลงมาก

      ขณะเดียวกัน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงข่าวดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีหรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เอสเอ็มอีเผชิญแรงกดดัน มีการขยายตัวต่ำ แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2558 ธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวดีขึ้นและฟื้นตัวจากงบลงทุนและกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งดัชนีความสามารถในการแข่งขัน ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้วอยู่ที่ระดับประมาณ 49.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2558 คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 49.7 และ 50.4 จุด ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปีนี้ตามลำดับโดยปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ การที่รัฐบาลประกาศให้เอสเอ็มอี เป็นวาระแห่งชาติ  และปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ จะมีผลทำให้ตลาดเงินเกิดความผันผวน และมีความกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

    สำหรับ การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของเอสเอ็มอี ในปี 2559 หากจีดีพีของประเทศปีนี้เติบโต 3.0-3.5% จีดีพีของเอสเอ็มอีจะขยายตัว 2.6-3.1% แต่หากจีดีพีของประเทศขยายตัวได้ถึง 3.5-4.0% จีดีพีของเอสเอ็มอี จะขยายตัว 3.1-3.6% โดยผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี ส่วนใหญ่ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งปีหลัง ทำให้หลังจากนี้ แม้ธุรกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ยังไม่โดดเด่น เพราะยังเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีสูง ปัญหาภัยแล้งที่มีผลต่อกำลังซื้อให้ลดลง และยังสะท้อนให้เห็นว่า กองทุนกระตุ้น เอสเอ็มอี 100,000 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอ ส่งผลต่อแผนการลงทุนเพิ่มเติม เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ที่ส่วนใหญ่ คิดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนที่น้อย หรือประมาณ 100,000 - 250,000 บาทเท่านั้น

      นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางด้านภาษี การให้ธนาคารของรัฐ เข้าไปขับเคลื่อนการลงทุนของเอสเอ็มอี รวมทั้งการออกมาตรการสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม โดยหันมาส่งเสริมให้มีการพัฒนาทักษะทางด้านตลาดไอที และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อกระตุ้นให้มีการลงทุนด้านการตลาด ที่ยังขาดอยู่ รวมทั้งสร้างให้เกิดการรับรู้ และใช้ประโยชน์จากการเปิดประชาคมอาเซียน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคให้ฟื้นตัว

    นอกจากนี้ ต้องเร่งดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จากภัยแล้ง และเร่งดำเนินโครงการเมกะโปรเจกท์ตั้งแต่ไตรมาสแรกทันที รวมทั้งผลักดันการส่งออก ที่เริ่มมี ความเสี่ยงจะขยายตัวได้เพียง 2% ในปีนี้  และเศรษฐกิจไทย มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 3.5% จากความผันผวนเศรษฐกิจโลก แต่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจยังไม่มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย ตามกรอบ 3.5-4% และการส่งออกขยายตัวได้ 4%

คลัง เผยจีดีพีปี 59 ฟื้นตัว 2.8% โดยปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ-ท่องเที่ยว

    บ้านเมือง : คลังคาดจีดีพีปี 59 ฟื้นตัวมาโตในช่วง 3.2-4.2% จาก 2.8% ในปี 58  โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง  ด้านม.หอการค้าไทยชี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลังของปี 59 เสนอรัฐเพิ่มมาตรการกระตุ้นและส่งเสริมเอสเอ็มอีมากขึ้น

     นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือน ม.ค.59 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 58 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 2.8 เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 0.9  โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/58 ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง

     นอกจากนี้ การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในเกณฑ์สูงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ครั้งก่อน

    สำหรับ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 58 อยู่ที่ร้อยละ -0.9 ลดลงจากปีก่อนหน้าตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ลดลงมาก

   ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 59 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ อาทิ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวประชารัฐ ที่รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 79,556 กองทุน กองทุนละไม่เกิน 500,000 บาท ภายใต้วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 59 สามารถขยายตัวร้อยละ 3.7 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.2-4.2)

    นอกจากนี้ ยังได้รับแรงส่งของการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง และกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปี 59 ที่เพิ่มขึ้น ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 58 จะอยู่ที่ร้อยละ 0.3 (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ -0.2 ถึง 0.8) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำตามแนวโน้มราคาพลังงานที่ส่งผลให้แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง"

    "ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ" นายกฤษฎา กล่าว

   ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแถลงข่าวดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีหรือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย โดยกล่าวว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เอสเอ็มอีเผชิญแรงกดดัน มีการขยายตัวต่ำ แต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2558 ธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวดีขึ้นและฟื้นตัวจากงบลงทุนและกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งดัชนีความสามารถในการแข่งขัน ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว

     อยู่ที่ระดับประมาณ 49.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2558  คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 49.7 และ 50.4 จุด ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปีนี้ตามลำดับโดยปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ การที่รัฐบาลประกาศให้เอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ  และปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ จะมีผลทำให้ตลาดเงินเกิดความผันผวน และมีความกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

    สำหรับ การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของเอสเอ็มอีในปี 2559 หากจีดีพีของประเทศปีนี้เติบโตร้อยละ 3.0-3.5 จีดีพีของเอสเอ็มอีจะขยายตัวร้อยละ 2.6-3.1 แต่หากจีดีพีของประเทศขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.5-4.0 จีดีพีของเอสเอ็มอีจะขยายตัวร้อยละ 3.1-3.6 โดยผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะฟื้นตัวชัดเจนในครึ่งปีหลัง ทำให้หลังจากนี้ แม้ธุรกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ยังไม่โดดเด่น เพราะยังเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่ยังมีสูง ปัญหาภัยแล้งที่มีผลต่อกำลังซื้อให้ลดลง และยังสะท้อนให้เห็นว่า กองทุนกระตุ้นเอสเอ็มอี 100,000 ล้านบาท ยังไม่เพียงพอ ส่งผลต่อแผนการลงทุนเพิ่มเติม เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ที่ส่วนใหญ่ คิดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนที่น้อย หรือประมาณ 100,000 - 250,000 บาทเท่านั้น

   นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางด้านภาษี การให้ธนาคารของรัฐ เข้าไปขับเคลื่อนการลงทุนของเอสเอ็มอีรวมทั้งการออกมาตรการสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม โดยหันมาส่งเสริมให้มีการพัฒนาทักษะทางด้านตลาดไอที และพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อกระตุ้นให้มีการลงทุนด้านการตลาด ที่ยังขาดอยู่ รวมทั้งสร้างให้เกิดการรับรู้ และใช้ประโยชน์จากการเปิดประชาคมอาเซียน และเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคให้ฟื้นตัว

สศค.คาด GDP ปี 59 ฟื้นตัวมาโตในช่วง 3.2-4.2% จาก 2.8% ในปี 58

     นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวประมาณการเศรษฐกิจไทย ณ เดือน ม.ค.59 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 58 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 2.8% เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/58 ตลอดจนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง

    นอกจากนี้ การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในเกณฑ์สูงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้านการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ครั้งก่อน

  สำหรับ เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 58 อยู่ที่ -0.9% ลดลงจากปีก่อนหน้าตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ลดลงมาก

    ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 59 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ อาทิ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวประชารัฐ ที่รัฐบาลสนับสนุนเงินทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจำนวน 79,556 กองทุน กองทุนละไม่เกิน 500,000 บาท ภายใต้วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 59 สามารถขยายตัว 3.7% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.2-4.2%)

    นายกฤษฎา กล่าวว่า สศค.ประมาณการ GDP ของไทยในปี 59 อยู่ที่ 3.7% ปรับลงเล็กน้อยจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ต.ค.58 ว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.8% สาเหตุสำคัญมาจากแนวโน้มการส่งออกของไทยที่ล่าสุดคาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 0.1% เท่านั้น จากก่อนหน้านี้เคยคาดไว้ว่าจะขยายตัวได้ 3.2% เป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย

      อย่างไรก็ดี แม้จะมีการปรับลดประมาณการส่งออกในปีนี้ลงไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นมาช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ นั่นคือการจัดสรรงบประมาณกลางปีเพิ่มเติม ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการเพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ จึงทำให้ประมาณการ GDP ของไทยรอบล่าสุดในปีนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากของเดิมมากนักจากที่เคยประเมินไว้ที่ 3.8%

   นอกจากนี้ ยังได้รับแรงส่งของการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง และกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปี 59 ที่เพิ่มขึ้น ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 58 จะอยู่ที่ 0.3% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -0.2 ถึง 0.8%) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำตามแนวโน้มราคาพลังงานที่ส่งผลให้แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง

   “GDP ปี 59 ที่เราปรับเปลี่ยนเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.7% จากเดิมที่เคยคาดไว้ 3.8% เมื่อรอบที่แล้ว เป็นเพราะการส่งออกปีนี้ น่าจะเติบโตได้น้อยกว่าที่คาดไว้เดิมมาก แต่เราก็ยังมีส่วนอื่นๆ มาช่วยเสริม เช่น งบกลางปีที่จัดสรรเพิ่มเติม โครงการเศรษฐกิจประชารัฐ ซึ่งจุดนี้เลยมาทำให้ GDP ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิมมากนัก แทบจะใกล้เคียงของเดิม...ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ"นายกฤษฎา กล่าว

    ด้าน น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค.กล่าวถึงสมมติฐานสำคัญ 7 ด้านของการประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 59 มาจาก 1.การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก 15 ประเทศ ซึ่งการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปอย่างเปราะบาง โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน เนื่องจากมีความน่าเป็นห่วงในภาคการผลิต ประกอบกับมีความผันผวนของค่าเงินหยวน คาดว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้จะเติบโต 6.6% จากเดิมคาดไว้ 6.8% ดังนั้น ทำให้ต้องมีการปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่เกี่ยวข้องลงด้วย คือ ฮ่องกง และไต้หวัน

    2.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญมีแนวโน้มอ่อนค่าเฉลี่ยที่ระดับ 37.50 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงไปจากปีก่อน 9.5% จากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนั้น หากค่าเงินในภูมิภาคมีความผันผวนมากอาจจะไม่ดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนเข้ามามากนัก ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงด้วย

     3.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ถือเป็นสมมติฐานที่มีการปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงถึง 32.2% จากในปี 58 ที่ระดับเฉลี่ย 51.60 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนั้นในปีนี้อุปทานของน้ำมันยังมากกว่าอุปสงค์จึงส่งผลให้ปริมาณสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญในการกดดันราคาน้ำมันโลกต่อไป

    4.ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า โดยเฉพาะกรณีของดัชนีราคาสินค้าส่งออก ซึ่งเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง สินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้องกับน้ำมันโดยเฉพาะหมวดปิโตรเคมีจึงปรับตัวลดลง รวมทั้งสินค้าเกษตรยังมีทิศทางราคาขาลง จึงทำให้ราคาสินค้าส่งออกหดตัวอยู่ที่ 1.6% ในปีนี้

    5.อัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1.50% เพื่อช่วยสนับสนุนธุรกรรมทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ตาม แต่ต้องพิจารณาปัจจัยภายในประเทศของไทยเองเป็นสำคัญ เพราะหากต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ก็จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกรรมทางเศรษฐกิจ

    6.สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวเป็นตัวสนับสนุนสำคัญ คาดว่าปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 33 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.5% และทำรายได้เข้าประเทศที่ 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.5%

    7.รายจ่ายภาคสาธารณะ ซึ่งมองว่าเป็นปัจจัยที่จะขยายตัวต่อเนื่อง โดยมาจากเงินงบประมาณ และเงินนอกงบประมาณ เม็ดเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐ ซึ่งงบรายจ่ายลงทุนในปีงบประมาณนี้สูงถึง 20% จากในปีงบประมาณก่อนอยู่ที่เพียง 17% ดังนั้นจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น

      อินโฟเควสท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!