- Details
- Category: คลัง
- Published: Tuesday, 18 November 2014 23:12
- Hits: 2726
สตง.ยันท่อก๊าซกลางทะเล เป็นสมบัติชาติ-ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
แนวหน้า : นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยว่า สตง.ได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน (ท่อก๊าซกลางทะเล) ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยยืนยันว่า ท่อก๊าซกลางทะเลไม่ได้รบกวนสิทธิ์ข้างเคียงของประชาชน และยังเป็นสาธารณะสมบัติ เนื่องจากตั้งอยู่กลางทะเลหลวง ดังนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จากสาธารณะสมบัติชิ้นนี้ จึงต้องนำไปคิดคำนวณเป็นต้นทุนด้วยจึงจะมีความเป็นธรรมมากที่สุด โดยที่ผ่านมา สตง.ได้ทำหนังสือเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับความเห็นกรณีดังกล่าวให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้กฤษฎีกากำลังพิจารณาข้อมูลทั้งหมด คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า
"ยังต้องรอผลการพิจารณาของกฤษฎีกาในชั้นสุดท้ายว่าจะออกมาเป็นอย่างไร จึงยังไม่อยากคาดเดา แต่ในส่วนของ สตง.ได้ยืนยันแนวคิดที่ยึดหลักในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เพราะการดำเนินการธุรกิจนี้ไม่ใช่เอกชนทั่วไปจะทำได้ ต้องมีอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องในการอนุญาตเรื่องสัมปทาน ส่วนผลที่ออกมาหากมีเหตุมีผลเพียงพอก็คงต้องยอมรับและให้เป็นข้อยุติไป"
ทั้งนี้ รายละเอียดในหนังสือดังกล่าว ระบุว่า สตง. พิเคราะห์ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดแล้วเห็นว่าท่อก๊าซธรรมชาติไม่ว่าจะอยู่บนบกหรือในทะเล หรือหน่วยงานใดจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการวางท่อก็ตาม ในการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิ์ในแนวท่อก๊าซธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงการกำกับและควบคุมดูแล ต้องใช้อำนาจมหาชนในการควบคุมกำกับตาม พ.ร.บ. การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 2551 จึงถือว่าแนวท่อก๊าซทั้งหมดรวมถึงอุปกรณ์ที่ประกับกันเป็นระบบท่อก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินที่ต้องใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (3)
อย่างไรก็ตาม จากผลการตรวจสอบของ สตง.พบว่า ทรัพย์สินที่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แบ่งแยกให้กระทรวงการคลัง มูลค่าทรัพย์สิน อยู่ที่ 16,176.19 ล้านบาท เป็นแนวท่อก๊าซธรรมชาติที่อยู่บนบนเพียงบางส่วนเท่านั้น ยังมีแนวท่อก๊าซทั้งบนบกและในทะเลที่ ปตท. ยังไม่ได้แบ่งแยกและส่งมอบให้กระทรวงการคลัง รวมมูลค่า 32,613.45 ล้านบาท จึงถือไม่ได้ว่า ปตท. ได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินให้กระทรวงการคลังถูกต้องตามนัยคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โดย สตง.ได้แจ้งผลการตรวจสอบให้ไปเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และ ปตท. เพื่อดำเนินการบังคับคดีในส่วนที่ยังไม่ได้แบ่งแยกให้เป็นไปตามคำพิพากษาต่อไป