WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gอภศกด ตนตวรวงศ 1คลังคาด พ.ร.บ.PPP เข้าครม.เร็วๆ นี้ ยันกองทุน TFF อยู่ระหว่างศาลปกครองสูงสุดพิจารณา เชื่อได้เห็นก่อนก.ค.นี้

    คลังคาด พ.ร.บ.PPP เข้าครม.เร็วๆ นี้ หวังเอกชนทั้งในและต่างชาติร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ  มั่นใจกองทุน TFF เกิดแน่ รอลุ้นศาลปกครองพิจารณากระบวนการ เชื่อออกได้ก่อนเดือนก.ค.นี้ ด้าน สคร.หวั่นหากไม่มีการระดมทุนรองรับการลงทุน หวั่นต้องกู้เงิน สร้างภาระทางการคลังสูง ขณะที่จัดเก็บรายได้รัฐวิสาหกิจ 4 เดือนแรกปีงบประมาณเกินเป้าแล้ว 12,000 ลบ. 

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.)พิจารณาแก้ไข ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ “พ.ร.บ.ร่วมทุน (พ.ร.บ.PPP) ในเร็วๆนี้ เพื่อเปิดทางให้เอกชนทั้งในและต่างชาติ เข้ามายื่นเสนอก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกหลายโครงการของรัฐได้เพิ่มเติม เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการลงทุนอีกหลายโครงการและปีนี้เป็นปีแห่งการเริ่มลงทุนโครงการของรัฐจำนวนมาก  

     “ที่ผ่านมามีเอกชนต่างชาติเข้ามาเสนอโครงการได้น้อยมาก จึงได้ปรับเครื่องการแชร์ความเสี่ยง ( Rise shairing ) จะรับความเสี่ยงมากน้อยขนาดใหนแล้วแต่ละโครงการ เพราะที่ผ่านมาเอกชนรับความเสี่ยงจากโครงการเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อการลงทุน และดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาเสนอร่วมลงทุนมากขึ้น”นายอภิศักดิ์ กล่าว 

     นอกจากนี้ การนำระบบ PPP Fastrack ที่ใช้ในการพิจารณาโครงการลงทุนปัจจุบัน เข้าบรรจุในร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ร่วมทุน เพื่อให้ขั้นตอนในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เพียง 9 เดือนจากเดิมเพียงแค่การศึกษาใช้เวลานานนับ 2 ปี คาดว่าร่าง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ จะผ่านความเห็นของสภา สนช.ได้ตามเป้าหมาย เพื่อให้การลงทุนโครงการขนาดใหญ่เริ่มเกิดขึ้นได้ในปีนี้ เมื่อระบบ PPP Fastrack บรรจุไว้ในกฎหมายจะทำให้โครงการอื่นต้องนำไปปรับใช้ด้วยเช่นกัน

         ขณะที่นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) ว่า ขณะนี้สหภาพการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือ ก.ท.พ.ได้ยื่นฟ้องร้องเพื่อระงับโครงการกับศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทุกอย่างจะให้เป็นไปตามขั้นตอนการพิจารณาของศาลปกครอง โดยยืนยันว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนกำหนดการเดิมที่คาดว่าจะเปิดขายกองทุนได้ก่อนการลงทุนของกทพ.ที่คาดว่าจะลงทุนก่อสร้างทางด่วน 2 เส้นทางได้ก่อนกรกฎาคมนี้แน่นอน

      “การเปิดขายตอนนี้ทำไปก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประเทศ เพราะการเอาเงินมาไว้โดยไม่ได้ใช้ก็ไม่ได้มีความหมาย เรายังเชื่อว่า ทันแน่นอน ซึ่งกทพ.เขาต้องการใช้เงินลงทุนในเดือนกรกฎาคม ซึ่งยังมีเวลาอีกหลายเดือนไม่ได้มีปัญหา”นายสมชัย กล่าว

      นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามกำหนดการของกทพ. คือ มีความต้องการนำเงินไปลงทุนก่อสร้างโครงการ 2 เส้น คือ ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง กับทางด่วนขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นตอหม้ออยู่กลางเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งการลงทุนนั้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือ ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป ดังนั้น ในระหว่างรอศาลพิจารณา ทางสคร.ได้ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. อยู่เป็นระยะ เพื่อให้การดำเนินการทำแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เป็นไปอย่างเรียบร้อย

      “ที่เราจำเป็นต้องมีกองทุน เพื่อเป็นช่องทางในการระดมทุน ไว้ใช้ในการลงทุน เพราะในอนาคต หากไม่มีกองทุนหรือแหล่งเงินไว้ใช้ จะทำให้เราจะต้องกู้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อลงทุน และจะทำให้เกิดภาระทางการคลังในที่สุด เพราะในปัจจุบันประเทศไทยไม่ใช่เรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น ยังมีเงินที่ต้องดูแลค่ารักษาพยาบาล ดูแลผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้สูงอายุด้วย ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้น อยากขอร้องให้ก้าวกันคนละก้าว เพราะถือเป็นอนาคตของประเทศ ทุกอย่างทำเพื่อการลงทุนให้เกิดประโยชน์ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีการลงทุนเกิดขึ้น เมื่อคลังเป็นผู้ดูแลนโยบายการคลัง หากต้องกู้เพื่อลงทุน และเป็นหนี้จนเป็นภาระ ก็จะทำให้การลงทุนไม่เกิด”นายเอกนิติ กล่าว 

      สำหรับ กรณีที่ สหภาพฟ้องร้องต่อศาลปกครองนั้น ที่ผ่านมาได้เดินหน้าไปชี้แจง ถึงความจำเป็นในโครงการดังกล่าวแล้วกับทุกหน่วยงาน ทั้ง ศาลปกครอง ก.ล.ต. และที่อื่นๆ ซึ่งหลังจากนี้ไปคงอยู่ที่การพิจารณาของศาลปกครองว่าจะตัดสินออกมาเป็นอย่างไร

     ส่วนการจัดเก็บรายได้งบรัฐวิสาหกิจในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 สคร.จัดเก็บรายได้ได้เกินเป้าหมาย 12,000 ล้านบาท ขณะที่ทั้งปีคาดว่าจะจัดเก็บรายได้ได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 137,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน ส่วนการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ตั้งเป้าเบิกจ่าย 500,000 ล้านบาท หรือ 95% ของวงเงินเบิกจ่าย ซึ่งหลังจากนี้ สคร.จะเร่งกำกับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจให้เบิกจ่ายได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากรัฐวิสาหกิจถือเป็นอีกหน่วยงานที่ช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และทางการคลังได้ในระดับหนึ่ง เพราะงบลงทุนรัฐวิสาหกิจคิดเป็ยครึ่งหนึ่งของงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างได้ตามเป้าหมาย จะส่งผลดีและเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศด้วย 

     “ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เบิกจ่ายได้ดี คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.  ขณะที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า คือ บริษัท การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. และ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เนื่องจากติดปัญหาภายใน แต่ในปีงบประมาณ 2561 คาดว่า รฟท.จะกลับมาเบิกจ่ายได้ดีขึ้นหลังจากที่รถไฟทางคู่มีความชัดเจนแล้ว”นายเอกนิติ กล่าว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!