- Details
- Category: คลัง
- Published: Wednesday, 07 February 2018 18:51
- Hits: 1877
รมว.คลัง ยันไม่ปิดกั้นสกุลเงินดิจิทัล แต่ต้องสกัดใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน-มอง ก.ล.ต.ควรเป็นหน่วยงานหลักกำกับดูแล
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ได้ปิดกั้นสกุลเงินดิจิทัล แต่จะต้องหาแนวทางการป้องกันไม่ให้ถูกนำไปใช้เป็นช่องทางการฟอกเงิน โดยมองว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ควรจะเป็นหน่วยงานหลักในการหาแนวทางการดูแลเรื่องดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์ในกำกับดูแลการระดมทุนด้วยการเสนอขาย ICO (Initial Coin Offering) อยู่แล้ว ซึ่งคาดว่า ก.ล.ต.น่าจะสรุปหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ภายใน 1 เดือนจากนี้
"ปัจจุบันประเทศไทยคงไม่สามารถหยุดกระแสหรือปิดกั้นเรื่อง Cryptocurrency ได้ เนื่องจากได้มีรูปแบบของการระดมทุนด้วยสกุลเงินดิจิทัล (ICO) เกิดขึ้น ซึ่งหากจะมีการพัฒนาในส่วนนี้ก็จะต้องมีการควบคุมดูแลที่ดีด้วย"รมว.คลัง ระบุ
อย่างไรก็ดี มองว่าหน่วยงานที่เหมาะสมที่ควรเข้ามาดูแลในเรื่องของ Cryptocurrency ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพราะ ก.ล.ต.มีหน้าที่กำกับดูแลในเรื่องของหลักทรัพย์ และขณะนี้ก็กำกับดูแลในเรื่องของ ICO ด้วย ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ได้มีการหารือร่วมกันระหว่าง 4 หน่วยงานแล้ว ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ ก.ล.ต.แล้ว น่าจะมีข้อสรุปในเรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเรื่อง Cryptocurrency ภายใน 1 เดือนนับจากนี้
"คนที่รับผิดชอบได้ดีที่สุด น่าจะเป็น ก.ล.ต. เมื่อก.ล.ต.ต้องควบคุมและดูแลการออกหลักทรัพย์ โดยเฉพาะ ICO ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่าหลักทรัพย์หรือเปล่า ในเมื่อต้องดูแล ก็เหมาะจะต้องดูแลคริปโตฯ ด้วย คุยกันแล้วให้ไปร่างระเบียบปฏิบัติและกฎหมาย ไปดูว่าจะทำอย่างไร ประเทศไทยจะไม่ปิดกั้นในเรื่องนี้ แต่จะต้องมีการควบคุม เพราะถ้าไม่ควบคุมมันจะเป็นช่องทางของการฟอกเงิน...อีกประมาณ 1 เดือน ก.ล.ต.น่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนี้ออกมา" รมว.คลังระบุ
สำหรับเหตุที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะไม่ใช่หน่วยงานที่เหมาะสมที่จะเข้ามากำกับดูแลเรื่อง Cryptocurrency นั้น เนื่องจาก ธปท.มองว่า Cryptocurrency ไม่ใช่สกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
อินโฟเควสท์
ดร.ดูมฟันธงราคาบิตคอยน์จะทรุดตัวลงจนเหลือศูนย์
อังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
นายนูรีเอล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ฉายา'ดร.ดูม' (Dr Doom) ซึ่งมักทำนายเหตุการณ์เลวร้ายถูกต้องมาหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ตลาดหุ้นทรุดตัวในปี 2551 ได้ทวีตข้อความเตือนว่า ราคาบิตคอยน์จะทรุดตัวลงจนเหลือศูนย์
"ตามคาด บิตคอยน์ดิ่งลงต่ำกว่า 6,000 ดอลลาร์ เข้าสู่ช่วง 5,000 ดอลลาร์ ขณะที่สภาคองเกรสจะมีการฟังคำให้การเกี่ยวกับการหลอกลวงโดยใช้สกุลเงินดิจิทัล พวกนักลงทุนที่โง่เขลาจะกอดบิตคอยน์จนกว่าจะมีค่าเหลือศูนย์ ขณะที่คนโกงจะหนีลอยนวล"ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
นอกจากนี้ นายรูบินี ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เข้ากวาดล้างขบวนการปั่นราคาบิตคอยน์ในตลาด
ก่อนหน้านี้ นายรูบินี เคยกล่าวถึง บิตคอยน์ ว่า เป็นฟองสบู่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
บิตคอยน์ ดิ่งลงราว 12% ในวันนี้ หลุดระดับ 6,000 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ บิตคอยน์ร่วงลงแตะระดับ 5,947.40 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยเป็นการปรับตัวลงมากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
มูลค่าตลาดของบิตคอยน์ลดลงมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.06 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดลดลงสู่ 2.824 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.ปีที่แล้ว
การทรุดตัวของบิตคอยน์เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการคุมเข้มของรัฐบาลหลายประเทศ, การที่แฮกเกอร์โจรกรรมเงินดิจิทัล, ข่าวการปั่นค่าเงินบิตคอยน์ของแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแห่งหนึ่ง รวมทั้งการที่ธนาคารหลายแห่งประกาศมิให้ลูกค้าใช้บัตรเครดิตของธนาคารในการซื้อสกุลเงินดิจิทัล
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และประธานคณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) ซึ่งจะเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เกี่ยวกับการควบคุมสกุลเงินดิจิทัล
บิตคอยน์ดิ่ง 12% วันนี้ หลุด 6,000 ดอลลาร์ ร่วงต่ำสุดรอบ 3 เดือน
บิตคอยน์ ดิ่งลงราว 12% ในวันนี้ หลุดระดับ 6,000 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ บิตคอยน์ร่วงลงแตะระดับ 5,947.40 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยเป็นการปรับตัวลงมากกว่า 50% นับตั้งแต่ต้นปีนี้
มูลค่าตลาดของบิตคอยน์ลดลงมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.06 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดลดลงสู่ 2.824 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.ปีที่แล้ว
การทรุดตัวของบิตคอยน์เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการคุมเข้มของรัฐบาลหลายประเทศ, การที่แฮกเกอร์โจรกรรมเงินดิจิทัล, ข่าวการปั่นค่าเงินบิตคอยน์ของแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแห่งหนึ่ง รวมทั้งการที่ธนาคารหลายแห่งประกาศมิให้ลูกค้าใช้บัตรเครดิตของธนาคารในการซื้อสกุลเงินดิจิทัล
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และประธานคณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) ซึ่งจะเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้เกี่ยวกับการควบคุมสกุลเงินดิจิทัล
อินโฟเควสท์
ราคา Bitcoin จะถึง 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2020' เดิมพัน โดยนาย McAfee
โดย Wiput Watanasupt - 04/02/2018 98 0
นาย John McAfee ผู้ที่มีชื่อเสียงอย่างมากจากบริษัทด้านซอฟต์แวร์ที่เขาก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายศตวรรษ 1980 ได้ทวิตข้อความบน Twitter อีกครั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2018 เพื่อยืนยันถึงความมั่นใจใน Bitcoin ของเขาและยังได้คาดการณ์ราคาของ Bitcoin ในปลายทศวรรษนี้ด้วย ซึ่งนาย McAfee เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าราคา Bitcoin จะสามารถแตะถึง ‘500,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2020’ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2017 เขาทวิตว่าราคาของมันขึ้นสูงเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ ทำให้เขาเพิ่มราคาของ Bitcoin ที่ทำนายไว้เป็น 1 ล้านดอลลาร์แทน
นาย McAfee พยายามสร้างความเชื่อมั่นในการคาดการณ์ของเขามากขึ้น โดยเขาได้ท้าว่าถ้าราคา Bitcoin ไม่ถึง 1 ล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2020 ตามที่เขาคาดการณ์ เขาจะโชว์การกิน “น้องชาย” ของเขาออกทีวีทั่วประเทศแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่ทางโทรทัศน์จะอนุญาตให้มีการถ่ายทอดสดโชว์นี้ อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่รวมทั้งคนที่คลั่งไคล้หรือศรัทธาใน Cryptocurrency ก็กำลังเย้ยหยันในความมั่นหน้าของนาย McAfee
จาก 'โมเดลในการทำนาย' ของนาย McAfee นั้นได้คาดการณ์ไว้ว่าราคา Bitcoin จะสูงถึง 5,000 ดอลลาร์ ในท้ายปี 2017 ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ราคาของ Bitcoin เมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้นสูงไปเกือบถึง 20,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาของ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดรวมลดลงอย่างน้อย 40% เมื่อเทียบกับในเดือนธันวาคม ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถามกับนาย McAfee เกี่ยวกับอนาคต ถ้า Bitcoin จะมีมูลค่าถึง 1 ล้านดอลลาร์ในปี 2020 ตามการคาดการณ์ของเขาได้นั้น ราคาของ Bitcoin อาจต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อย ๆ เท่าจากมูลค่าณ ปัจจุบันเลยทีเดียว
อีกสิ่ง ที่น่าสนใจ คือ การที่นาย McAfee ยังเป็นผู้สนับสนุนอย่างแรงกล้าของ Bitcoin Cash (BCH) อีกด้วย โดยเขาพูดเป็นนัยว่า Bitcoin กับ Bitcoin Cash อาจต้องแข่งขันช่วงชิงความเป็นที่ 1 กันในอนาคต ทั้งนี้ ผู้ที่สนับสนุน Bitcoin Cash ส่วนใหญ่เชื่อว่า Bitcoin ตัวเดิมนั้นมีขนาดใหญ่เกินไปและไม่สามารถใช้เป็นสกุลเงินหรือสามารถทดแทนเงินสดได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเกิดการ Fork ขึ้น นาย McAfee ไม่เพียงเชื่อว่า BCH จะสามารถเป็นระบบการชำระเงินแบบเงินสดได้ แต่ยังเชื่อว่ามันสามารถโค่น Bitcoin ลงจากบัลลังก์ได้อีกด้วย จึงน่าแปลกใจที่วิสัยทัศน์เกี่ยวกับ BCH ของเขานั้นขัดต่อคำทำนายของเขาที่ว่า Bitcoin จะมีราคาถึง 1 ล้านดอลลาร์ภายในสองสามปีที่จะถึงนี้
เรายังคงต้องจับตาดูต่อไปว่า Bitcoin จะสามารถกลับมามีราคาสูงสุดเท่าในเดือนธันวาคมหรือไม่ ถึงแม้ว่าศักยภาพที่ผ่านมาของมันจะไม่สามารถบ่งชี้ถึงราคาในอนาคตได้ แต่ก็มีโอกาสมากที่ตลาดเงินดิจิตอลทั้งหมดนั้นจะกลับมาฟื้นฟูในไม่ช้าก็เร็วนี้เหมือนที่มันเคยเป็น และถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะสามารถเก็งกำไรได้ไม่ว่าการทำนายราคา Bitcoin อันบ้าบิ่นของนาย McAfee เป็นจริงหรือไม่ก็ตาม
บิตคอยน์ทรุด 30% สัปดาห์นี้หนักสุดรอบ 4 ปี หวั่นรัฐควบคุมตลาด,Bitfinex ปั่นราคา
บิตคอยน์ดิ่งลง 12% ในวันนี้ หลุดระดับ 8,000 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 11 สัปดาห์ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการที่รัฐบาลของประเทศต่างๆจะเข้าควบคุมการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล รวมทั้งจากข่าวอื้อฉาวของการที่ Bitfinex ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ได้ทำการปั่นราคาบิตคอยน์
นอกจากนี้ บิตคอยน์ทรุดตัวลงมากกว่า 30% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดรายสัปดาห์นับตั้งแต่ปี 2556 ณ เวลา 18.48 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ทรุดตัวลงแตะ 7,923 ดอลลาร์ และเป็นการดิ่งหลุดระดับ 8,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.ปีที่แล้ว
ส่วนอีเธอเรียม และริพเพิลร่วงลง 22% และ 32% ตามลำดับ
มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลกวูบหายไปมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในวันนี้
ทั้งนี้ สกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดมีมูลค่าตลาด 405,241,490,138 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยลดลง 1.126 แสนล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับเมื่อวานนี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา นายอรุณ เชฏลี รมว.คลังอินเดีย กล่าวเตือนว่า รัฐบาลจะกวาดล้างการก่ออาชญากรรมที่มีส่วนพัวพันกับสกุลเงินดิจิทัล และจะห้ามการใช้สกุลเงินดิจิทัลในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์สรายงานว่า นักลงทุนจำนวนมากที่ทำการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลมีความวิตกกังวลต่อการที่ Bitfinex ซึ่งเป็นตลาดหรือแพลทฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ได้ทำการปั่นราคาบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆในช่วงที่ผ่านมา
ราคาอ้างอิงของสกุลเงินดิจิทัลใน Bitfinex ได้ถูกนำไปคำนวณดัชนีราคาของ CoinDesk ซึ่งได้ประมวลราคาสกุลเงินดิจิทัลจากราคาอ้างอิงของแพลทฟอร์มต่างๆ เช่น Bitstamp, Coinbase, itBit รวมทั้ง Bitfinex
ทางด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานก่อนหน้านี้ว่า ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) ของสหรัฐ ได้มีหมายศาลแจ้งให้ Bitfinex และ Tether ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล เข้าพบ แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจสอบแต่อย่างใด ขณะที่ Bitfinex และ Tether มีผู้บริหารซ้ำหน้ากันหลายคน
ทางด้านบริษัท Tether มีการออก Tether ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีดอลลาร์สหรัฐหนุนหลัง ซึ่งหมายความว่าทุกครั้งที่มีการออก token หรือเหรียญ Tether ใหม่ นักลงทุนจะต้องให้เงินดอลลาร์สหรัฐแก่บริษัท โดย 1 token มีค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มพบความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับ Tether โดยพบว่า มักมีการสร้าง token Tether ใหม่จำนวนหลายร้อยล้านดอลลาร์ แทบจะในทันทีที่ราคาบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆดิ่งลง และจะมีการใช้เงิน Tether เหล่านี้เข้าซื้อบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมากใน Bitfinex ซึ่งส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวฟื้นตัวขึ้น
มีการมองกันว่า บริษัท Tether ขาดความโปร่งใส แม้แต่ก่อนที่จะได้รับหมายศาลจาก CFTC ขณะที่บริษัทมีโครงสร้างที่ซับซ้อน โดยมีผู้บริหารเป็นชาวยุโรป แต่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเอเชีย และมีการจดทะเบียนในหมู่เกาะแคริบเบียน
อินโฟเควสท์
การทำให้ Bitcoin ถูกกฎหมาย คือหนทางเดียวที่จะทำให้มันเป็นที่นิยมมากขึ้น กล่าวโดย Morgan Stanley
โดย Beam - 15/06/2017791 1
Morgan Stanley หรือธนาคารผู้ให้บริการด้านการกู้ยืมเงินเพื่อลงทุนได้ออกมาประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยแสดงความเห็นว่า Bitcoin นั้นควรที่จะถูกทำให้ถูกกฎหมาย และมีการควบคุมโดยรัฐบาลจึงจะมีผู้คนหันมาใช้งานมากขึ้น
ความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของเหรียญ cryptocurrency นามว่า Bitcoin นั้นเป็นสกุลเงินที่ถูกออกแบบมาให้ใช้ส่งต่อหากันแบบ P2P ไม่มีคนกลางมาคั่น และปราศจากการควบคุมและเป็นเจ้าของโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของราคาในปีนี้นั้นได้ส่งผลให้มีนักลงทุนกระเป๋าหนาเป็นจำนวนมากกระโดดเข้ามาลงทุนในตลาด cryptocurrency นี้
เงินจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในตลาดเหรียญคริปโต
ธนาคาร Morgan Stanley ได้กล่าวถึงการตั้งข้อกฎหมายที่จำเป็นต่อเหรียญคริปโตนั้นๆถือเป็นเรื่องจำเป็น ขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละตัว แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาลนั้นกำลังเฝ้าดูเหรียญพวกนี้อย่างเงียบๆว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในตลาดต่อไป
พวกเขากล่าวว่า “ผู้ออกกฎหมายกำลังมองหากุญแจดอกสำคัญที่จำทำให้ทางรัฐบาลสามารถมองเห็นที่มาของธุรกรรมได้หมด”
การออกมาแสดงความคิดเห็นของธนาคารนั้นดูเหมือนจะสร้างความไม่พอใจกับผู้ใช้งาน Bitcoin เป็นอย่างมาก เนื่องจากแนวคิดพื้นฐานของบิทคอยน์นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลดแอกประชาชนจากธนาคารกลางและรัฐบาล
แต่ไม่ว่า ทาง Morgan Stanley จะออกมาแสดงความเห็นอย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ได้มีนักลงทุนกระเป๋าหนาจาก Wall Street ที่เริ่มหันมาลงทุนในเหรียญคริปโตแล้ว
จีนจะปิดการซื้อขาย cryptocurrency ทั้งหมด รวมถึงการห้ามใช้เว็บซื้อขายต่างประเทศ
โดย Bitcoin Addict - กุมภาพันธ์ 5, 20180273
“เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน จีนจะเพิ่มมาตรการในการปิดกั้นแพลตฟอร์มซื้อขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสกุลเงินหรือ ICO” ข้อความนี้มาจากบทความที่ตีพิมพ์โดย Financial News ซึ่งเป็นนิตยสารที่อยู่ในสังกัดของธนาคารประชาชนจีน
ราคา Bitcoin ล่าสุด และนโยบายการเมืองที่เกี่ยวข้อง
ในบทความได้มีการการยอมรับว่า ความพยายามในการปิดกั้นการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เมื่อไม่นานมานี้ในประเทศจีน พบกับความล้มเหลวในการกำจัดการซื้อขายให้ได้อย่างสมบูรณ์
แม้ ICO และการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ได้ถอนตัวออกจากประเทศจีนอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่หลังจากที่ปิดการแลกเปลี่ยนสกุลเงินในประเทศ นักลงทุนหลายคนได้หันมาลงทุนในตลาดต่างประเทศแทน เพื่อซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล
“การทำธุรกรรมซื้อขายในต่างประเทศ และการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ยังคงดำเนินต่อไป แล้วความเสี่ยงก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากมีการขาย ICO ที่ผิดกฎหมาย รวมถึงมีการฉ้อโกงและมีการขายแบบพีระมิด”
ท่าทีที่เข้มงวดของปักกิ่ง มีผลบังคับใช้ทุกรูปต่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ ICO และความบ้าคลั่งในการซื้อขายสกุลเงินเสมือนถูกกวาดล้างออกไปจากประเทศจีน ความตื่นเต้นในหมู่นักลงทุนรายย่อยทำให้เกิดความผันผวนของราคาอย่างมาก และเริ่มมีเหตุการณ์การฉ้อโกงเกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลกังวล ว่าเป็นปัญหาต่อสังคมจีนในอนาคต
ห้ามสื่อโฆษณาข้อมูลเกี่ยวกับ CryptoCurrency
จากรายงานล่าสุด มีการปราบปรามโฆษณา CryptoCurrency และได้หยุดแสดงคำค้นหาบน Baidu ซึ่งเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่ที่สุดของจีน รวมถึงแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของจีนอย่าง Weibo
“เป็นเรื่องปกติที่ประชาชนจะใช้ VPNs [virtual private networks] ในการซื้อขายสกุลเงินได้ เนื่องจากมีหลายแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนย้ายไปญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์” Donald Zhao, ผู้ประกอบการซื้อขาย Bitcoin รายหนึ่งซึ่งย้ายมาจากกรุงปักกิ่งเมื่อปลายปีที่แล้วกล่าว .
“ผมคิดว่าจากการย้ายครั้งใหม่นี้ หมายความว่ามันยากที่จะหลีกเลี่ยงการห้ามซื้อขายของประเทศจีน คนที่สนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอาจถูกจับกุมได้” นาย Donald Zhao กล่าว
“กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นจาก PBOC จะถ่วงดุลมูลค่าตลาดของ cryptocurrency” Wayne Cao ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทที่เคยลงทุนใน ICO มูลค่ากว่า 10 พันล้านเหรียญ กล่าว
“โครงการ ICO ของจีนส่วนใหญ่ได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนชาวจีน ดังนั้นถ้าพวกเขาถูกบล็อกตลาด cryptocurrency ทั้งหมดจะถูกลากลง”
จนถึงขณะนี้การเสนอขาย ICO ใหม่ๆ มักถูกยึดติดกับ cryptocurrencies เก่าแก่ดั้งเดิมเช่น bitcoin และนักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อผ่าน ICO ได้ตราบเท่าที่พวกเขามีกระเป๋าเงินดิจิตอลอยู่ การซื้อขายเหรียญได้เกิดขึ้นในเว็บไซต์ซื้อขายต่างประเทศ โดยมีการซื้อขายจำนวนมากเมื่อ ICO เปิดเทรดในตลาด
ฟองสบู่ดูเหมือนจะระเบิดขึ้นทันที ราคา Bitcoin ได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 8,000$ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จากนั้นก็ฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ ทำให้นักลงทุนบางคนรู้สึกท้อใจ
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน PBOC สั่งให้สถาบันการเงินระงับการระดมทุนเพื่อดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ CryptoCurrency
“นี่เป็นข่าวดีสำหรับญี่ปุ่นและสิงคโปร์เนื่องจากความต้องการในการซื้อขายไม่ลดน้อยลงเลย และผู้ประกอบการธุรกิจซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ก็ต้องการย้ายบริษัทไปที่ไหนสักแห่ง” นาย Ace Yang กรรมการบริหารของ Cathay Capital ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน แห่งหนึ่ง ณ กรุงปักกิ่งกล่าว
ที่มา : scmp.com
ขุนคลังสหรัฐชี้การซื้อขายหุ้นที่มีการตั้งโปรแกรมคอมพิวตอร์ล่วงหน้า เป็นสาเหตุหุ้นตกหนักระยะนี้
นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวในวันนี้ว่า การซื้อขายหุ้นที่มีการตั้งโปรแกรมคอมพิวตอร์ล่วงหน้า เป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนักในระยะนี้
ทั้งนี้ นายมนูชินเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันนี้ เกี่ยวกับภาวะทรุดตัวเกือบ 9% ของดัชนีดาวโจนส์จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้
นายมนูชิน กล่าวว่า การซื้อขายหุ้นที่มีการตั้งโปรแกรมคอมพิวตอร์ล่วงหน้า โดยกำหนดเงื่อนไขให้มีการใช้คำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ โดยฉุดให้ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงถึง 1,175 จุด ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงหนักเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ดี นายมนูชินกล่าวว่า สภาวะตลาดโดยรวมยังคงปกติ แม้ตลาดปรับตัวผันผวน แต่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง
มาร์เก็ตแคปตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวูบหายมากกว่า 1 ล้านล้านดอลล์ในเวลาเพียง 3 วันในเดือนนี้
มูลค่าตลาดของหุ้นสหรัฐวูบหายไปมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 วันทำการแรกในเดือนก.พ.
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ดิ่งลงเกือบ 6.2% ในเดือนนี้ หลังจากที่ปิดตลาดเมื่อวานนี้ ขณะที่มูลค่าตลาดหายไปราว 1.6 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.
หุ้นขนาดใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีท เช่น อัลฟาเบท, เวลส์ ฟาร์โก, เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์, แอปเปิล, ไมโครซอฟท์ และเอ็กซอน โมบิล เป็นหุ้นที่ทรุดตัวลงมากที่สุด โดยมูลค่าตลาดของหุ้นแต่ละบริษัทวูบหายไปอย่างน้อย 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่มูลค่าตลาดของอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิ้ล ลดลงมากกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ มูลค่าตลาดของหุ้นทั่วโลกวูบหายไป 4 ล้านล้านดอลลาร์ในวันนี้ เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อ 8 วันก่อนหน้านี้ ขณะที่นักลงทุนเทขายหุ้นด้วยความตื่นตระหนก จากความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐที่อาจเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง
ปธ.ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กพอใจวอลล์สตรีทเปิดตลาดราบรื่นวันนี้ หลังแกว่งตัวหนักช่วง 2 วันที่ผ่านมา
นายทอม ฟาร์ลีย์ ประธานตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเปิดตลาดค่อนข้างราบรื่นในวันนี้ หลังจากที่มีการซื้อขายอย่างผันผวนในช่วง 2 วันที่ผ่านมา
"ผมคิดว่านักลงทุนควรถอยออกมาหนึ่งก้าว หายใจลึกๆ และยอมรับความจริงที่ว่า ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวขึ้นนับตั้งแต่ที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 ขณะที่อัตราการว่างงานลดลง ส่วนจีดีพีก็มีการขยายตัว"เขากล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้ง ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นมากกว่า 32% ขณะปิดตลาดเมื่อวานนี้ ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัว 23% ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นมากกว่า 34%
อย่างไรก็ดี แม้ประธานตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กกล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเปิดตลาดอย่างราบรื่นในวันนี้ แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวลง ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน ซึ่งส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวแรงระหว่างแดนบวกและลบ โดยมีการปรับตัวในช่วงกว้างกว่า 900 จุด