- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 27 December 2017 13:47
- Hits: 2829
ภาวะตลาดหุ้นไทย : แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-อิงขาขึ้น เล็งแรงหนุนจากกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรง
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริหารการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up โดยคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรง ทำให้เป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่อาจจะขึ้นนำตลาดฯได้
นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศก็มีเรื่องการช่วยการบริโภคภายในประเทศไปจนถึงต้นปีหน้า อย่างเรื่องมาตรการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดรอง ทำให้จะเห็นการเติบโตเศรษฐกิจในปี 2561 เป็นลักษณะของการกระจายตัวมากขึ้น
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะแกว่งตัวในแดนบวก ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงเล็กน้อย ซึ่งระยะสั้นปัจจัยนอกประเทศไม่ค่อยมี ธุรกรรมของนักลงทุนต่างชาติก็เบาบาง
อย่างไรก็ดี ให้จับตาช่วงปลายปีนี้ในทิศทาง Fund Flow จะเข้ามาบ้านเราต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าเข้าต่อเนื่องจะทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเงินจะไหลเข้าไทยในปลายปีไปจนถึงต้นปีหน้า ซึ่งก็จะสามารถชดเชยเม็ดเงินของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ครบกำหนดไถ่ถอนในต้นปี 2561 ได้
พร้อมให้แนวรับ 1,744-1,737 จุด ส่วนแนวต้าน 1,759-1,762 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,746.21 จุด ลดลง 7.85 จุด (-0.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,680.50 จุด ลดลง 2.84 จุด (-0.11%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,936.25 จุด ลดลง 23.71 จุด (-0.34%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 54.96 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.72 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 5.26 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 2.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 6.48 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 38.30 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 ธ.ค.60) 1,752.48 จุด เพิ่มขึ้น 2.26 จุด (+0.13%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,215.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 59.97 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 2.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 ธ.ค.60) ที่ 7.03 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.79 แนวโน้มแกว่งกรอบแคบ-ธุรกรรมเบาบาง ช่วงท้ายปี
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำ พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับ พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา
- แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในเดือน ม.ค. 2561 ธปท.จะประกาศกรอบการบริหารจัดการด้านการกำกับดูแล (มาร์เก็ต คอนดักต์) สถาบันการเงินเพิ่มเติม หลังจากติดตามการปรับปรุงการบริหารจัดการ มาร์เก็ต คอนดักต์ ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งไปในไตรมาส 4 ปี 2560
- เลขาฯ คปภ.เผยทิศทางธุรกิจประกันภัยปี 2561 เติบโตดีขึ้น ทั้งกรมธรรม์ประกันชีวิตและประกันภัย คาดทั้งปีขยายตัวได้อีก 7.09% มูลค่ากว่า 8.8 แสนล้านบาท สูงกว่า ปี 2560 เติบโต 6.14% อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งออก และมาตรการเพิ่มรายได้ แต่วิตกราคาพืชต่ำและหันใช้เทคโนโลยี ตัวแปรสำคัญ
- คลังจ่อชง ครม.ไฟเขียวมาตรการช่วยเหลือคนจนเฟส 2 หวังเป็นของขวัญปีใหม่ให้ผู้มีรายได้น้อย แจงเป็นความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างหลายหน่วยงาน หวังช่วยผู้มีรายได้น้อย 5.3 ล้านคนหลุดพ้นความยากจนอย่างสมบูรณ์
- รฟท.เร่งสรุปแผนฟื้นฟูกิจการ หวังเดินหน้าแก้ปัญหาขาดทุนสะสม พร้อมเร่งตั้งบริษัทลูกบริหารทรัพย์สิน จ่อเปิดประมูลให้เอกชนพัฒนาที่ดิน 3 แปลงใหญ่ สถานีแม่น้ำ มักกะสัน และบางซื่อ หวังหารายได้ล้างหนี้ คาดชงครม.อนุมัติไตรมาสแรก ปี 2561
- ครม.เห็นชอบให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดทั้งกับบริษัทนำเที่ยว หรือเดินทางเที่ยวเอง ให้เอาใบเสร็จค่าใช้จ่ายจากค่านำเที่ยว-โรงแรมและโฮมสเตย์ มาลดหย่อนภาษีได้ตลอดปี 2561 ได้ไม่เกิน 15,000 บาท และให้นิติบุคคลนำค่าจัดสัมมนาในเมืองรอง 55 จังหวัดนำหักค่าใช้จ่ายได้ 100% ด้าน "วีระศักดิ์" ฟิตจัดจ่อประกาศเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวเมืองรองอีก
*หุ้นเด่นวันนี้
- SHREIT (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่าสตราทีจิก
ฮอสพิทอลลิตี้) เทรดวันนี้วันแรก ในหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีจำนวน 352,836,700 หน่วย ราคา Par 10.00 บาทต่อหน่วย ราคาเสนอขาย 10.00 บาทต่อหน่วย โดยมีผู้จัดการกองทรัสต์คือ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด และทรัสตีคือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย
ลักษณะโครงการเป็นการลงทุนโดยการถือหุ้น 100% ใน Strategic Hospitality Holding Limited (BVI) ซึ่งลงทุนในทรัพย์สินทางอ้อมผ่านบริษัทโฮลดิ้งต่างประเทศ โดยถือหุ้น 100% ในบริษัทที่เป็นผู้ให้เช่าหลักของโรงแรม ประกอบด้วยกรรมสิทธิ์ที่มีกำหนดอายุของโรงแรม Pullman Jakarta Central Park ประเทศอินโดนีเซีย และสิทธิการเช่าที่ดินและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโรงแรม 2 แห่งในประเทศเวียดนาม ได้แก่ Capri by Fraser และ IBIS Saigon South
- PCSGH (ฟินันเซีย ไซรัส) เป้า 13 บาท ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงวานนี้เป็นโอกาสซื้อลงทุน โดยคาดว่าจะเป็นแรงขายเพื่อรับรู้กำไรก่อนปิดงวดบัญชีของกองทุนหรือนักลงทุนบางกลุ่ม ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งแนวโน้มกำไรยังดีต่อเนื่อง โดยคาดกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 165 ล้านบาท +19% Y-Y ส่วนทั้งปีนี้คาด +69% Y-Y อยู่ที่ 790 ล้านบาท และปีหน้าคาด +22% Y-Y อยู่ที่ 790 ล้านบาท ปัจจัยหนุนระยะสั้นอยู่ที่การได้รับงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV เพิ่มในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าอีกราว 5 พันล้านบาท และปันผลงวด H2/60 อีกราว 2-3%
- DTAC (โกลเบล็ก) เลือกเป็น Top pick ของกลุ่มโทรคมนาคม เนื่องจากราคาหุ้น DTAC ล่าสุด ได้มีการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจาก TOT ให้เป็นคู่สัญญา (เดือน พ.ค. 61) กว่า 28% พร้อมกับยังอยู่ในระดับใกล้กับจุดต่ำสุดในเดือนดังกล่าวที่ 40.25 บาท สะท้อน Downside ที่จำกัด จึงน่าสนใจเข้า “ซื้อเก็งกำไร" ในวันนี้ Bloomberg Consensus ประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 51.4 บาท Upside 19.6% สูงสุดในกลุ่มฯ
พร้อมให้จับตาการประชุมคณะกรรมการ กสทช.ในวันนี้ มีประเด็นน่าติดตามซึ่งจะกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การสรุปสัญญาคู่ค้าระหว่าง TOT-DTAC บนคลื่น 2300 MHz ภายหลังจากที่ TOT ยื่นเอกสารต่อ กสทช.ตามที่มีการร้องขอแล้ว และ 2) การขยายระยะเวลาการชำระเงินค่าประมูลคลื่น 900 MHz งวดที่ 4 ของ ADVANC และ TRUE หลังจากที่ กสทช.ได้รับหนังสือจาก คสช.
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผันผวนเช้านี้ เหตุนักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนช่วงวันหยุดปีใหม่
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผันผวนในช่วงเช้านี้ ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้ ยังส่งผลให้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียอ่อนแรงลงด้วย
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,632.97 จุด เพิ่มขึ้น 54.96 จุด, +0.19% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,383.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.22 จุด, +0.15% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,760.71 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด, +0.04%
ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,427.05 จุด ลดลง 5.26 จุด, -0.06% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,302.46 จุด ลดลง 3.66 จุด, -0.11% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,419.81 จุด ลดลง 2.10 จุด, -0.02% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,420.86 จุด ลดลง 6.48 จุด, -0.27% ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,854.39 จุด ลดลง 38.30 จุด, -0.17%
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 2.5% หลังจากหนังสือพิมพ์อีโคโนมิค เดลี่ ของไต้หวันรายงานว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone X จะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ตลาดจับตาดูนั้น สำนักงานสภิติแห่งประเทศจีน (NBS) เปิดเผยว่า กำไรของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 14.9% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 7.858 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราช้าที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ และยังขยายตัวน้อยกว่าเดือนต.ค.ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 25.1%
ส่วนในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ กำไรของบริษัทขนาดใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม ขยายตัว 21.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดือนม.ค.-ต.ค. ซึ่งขยายตัว 23.3%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดาวโจนส์ปิดลบ 7.85 จุด หลังหุ้นแอปเปิลดิ่งฉุดหุ้นเทคโนโลยีร่วง
ดัชนี ดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (26 ธ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นำโดยหุ้นแอปเปิลที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 2.5% หลังจากหนังสือพิมพ์อีโคโนมิค เดลี่ ของไต้หวันรายงานว่า ยอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone X จะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยข่าวดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มพลังงาน
ดัชนี เฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,746.21 จุด ลดลง 7.85 จุด หรือ -0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,680.50 จุด ลดลง 2.84 จุด หรือ -0.11% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,936.25 จุด ลดลง 23.71 จุด หรือ -0.34%
ดัชนี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.7% ขณะที่ราคาหุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดร่วงลง 2.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.ปีนี้ หลังจากหนังสือพิมพ์อีโคโนมิค เดลี่ ของไต้หวันรายงานว่า แอปเปิลจะปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย iPhone X ในไตรมาสแรกตามปีงบการเงินของบริษัท สู่ระดับ 30 ล้านเครื่อง โดยลดลงถึง 40% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 50 ล้านเครื่อง
ส่วนหุ้นบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ของแอปเปิลนั้น ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นบรอดคอม หุ้นสกายเวิร์คส์ โซลูชั่น, หุ้นฟินิซาร์ และหุ้นลูเมนทัม โฮลดิงส์ ต่างก็ปิดตลาดในแดนลบ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดัคเตอร์ ดิ่งลง 0.97%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้บดบังปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยหุ้นเมซีย์ พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นโคลท์ พุ่งขึ้น 6% และหุ้นวอลมาร์ท ดีดตัวขึ้น 1% โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานผลสำรวจของมาสเตอร์การ์ดซึ่งระบุว่า ยอดค้าปลีกในสหรัฐในระหว่างวันที่ 1 พ.ย. - 24 ธ.ค. ปรับตัวขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดขายอีคอมเมิร์ซพุ่งขึ้นถึง 18.1% ซึ่งช่วยหนุนยอดขายในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.8% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากข่าวเหตุการณ์ระเบิดที่ท่อส่งน้ำมันในประเทศลิเบีย โดยหุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 0.8% หุ้นอีโอจี รีซอสเซส พุ่งขึ้น 2.1%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตามคำสัญญาก่อนหน้านี้ที่ว่าเขาจะมอบการปรับลดภาษีครั้งใหญ่แก่ชาวอเมริกันเป็นของขวัญวันคริสต์มาส
สำหรับ ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดนั้น สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และภาวะขาดแคลนสต็อกบ้านในตลาด ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าระดับ 6.2% ในเดือนก.ย.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.
อินโฟเควสท์