- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 12 December 2017 12:12
- Hits: 2498
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับตัวขึ้นต่อรับ LTF-RMF เข้าซื้อต่อเนื่องหนุน ปัจจัยบวกจากสหรัฐฯช่วยผลักดัน
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวันนี้มองว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยหนุนในประเทศจากแรงซื้อของกองทุน LTF และ RMF ที่ยังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้น
ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศยังคงมาจากสหรัฐฯ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาดี และส่งผลหนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น และส่งผลมาสู่ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก อีกทั้งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้และพรุ่งนี้มองว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.25% ตามการคาดการณ์ รวมถึงร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่ตลาดคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบก่อน 22 ธ.ค.นี้ ซึ่งส่งผลบวกต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าวันนี้มองว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยหนุนในประเทศจากแรงซื้อของกองทุน LTF และ RMF ที่ยังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้น
ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศยังคงมาจากสหรัฐฯ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาดี และส่งผลหนุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น และส่งผลมาสู่ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก อีกทั้งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้และพรุ่งนี้มองว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 0.25% ตามการคาดการณ์ รวมถึงร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่ตลาดคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบก่อน 22 ธ.ค.นี้ ซึ่งส่งผลบวกต่อภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้น
ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เปิดทำการแล้วในช่วงเช้านี้การเคลื่อนไหวของดัชนีมีทั้งบวกและลบในแต่ละประเทศ โดยตลาดหุ้นที่ดัชนีเป็นลบเช้านี้ ได้แก่ เกาหลีใต้ มาเลแซีย และสิงคโปร์ ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง ดัชนีเป็นบวก
พร้อมให้แนวต้านที่ 1,715-1,720 จุด แนวรับ 1,700 จุด
พร้อมให้แนวต้านที่ 1,715-1,720 จุด แนวรับ 1,700 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,386.03 จุด เพิ่มขึ้น 56.87 จุด (+0.23%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,659.99 จุด เพิ่มขึ้น 8.49 จุด (+0.32%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.08 จุด เพิ่มขึ้น 35.00 จุด (+0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 2.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.26 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.71 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.64 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.80 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 7.45 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 12.30 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.89 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ธ.ค.60) 1,706.52 จุด เพิ่มขึ้น 3.15 จุด (+0.18%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 832.36 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 57.99 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ธ.ค.60) ที่ 7.45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.60 แนวโน้มแกว่งแคบตามทิศทางภูมิภาค นลท.รอติดตามผลประชุมเฟด
- ตลาดหลักทรัพย์เลื่อน แผนเปิดซื้อขายหุ้นสตาร์ทอัพผ่านไลฟ์ แพลตฟอร์มเป็นต้นปีหน้า จากเดิมกำหนดปลายปีนี้ หวังอุดความเสี่ยงก่อนเปิดระบบเทรด ประเมินความสนใจผู้ลงทุน มีทิศทางที่ดี เชื่อมีสินค้าพร้อมเทรด ด้าน ก้องเกียรติ โอภาสวงการชี้สตาร์ทอัพไทย ไม่น่าสนใจ เพราะยังไม่ได้มาตรฐาน
- คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (EU) แถลงว่า EU ตกลงจะปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทย และกลับเข้าสู่การติดต่อทางการเมืองกับไทยในทุกระดับเพื่อปูทางสู่การเจรจาในประเด็นสำคัญร่วมกัน เนื่องจากไทยมีการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และเตรียมการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.61 ซึ่งทำให้ไทยมีความเหมาะสมที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้วย
- บริษัทวาณิชธนกิจรายใหญ่ ได้แก่ เจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์ว่าในปี 61 อัตราดอกเบี้ยของประเทศพัฒนาแล้วจะปรับขึ้นเป็นอย่างน้อย 1% เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 49
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมติดตามงานที่กระทรวงพาณิชย์อีกรอบ พร้อมเตรียมรายงานความคืบหน้าแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การดูแลปากท้อง สินค้าเกษตร และแผนผลักดันส่งออกที่จะเน้นการจับมือประเทศเป้าหมายขยายการค้า การลงทุน เผยได้สั่งโละโครงการไม่ตอบโจทย์ไปแล้ว ด้านเป้าปี 61 เตรียมขอรับนโยบาย แต่มั่นใจยังบวกได้ วงในแนะจับตาปรับโฉมการทำงานทูตพาณิชย์ใหม่เน้นรวดเร็ว ฉับไว ขับเคลื่อนเหมือนเอกชน
- ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยสถานการณ์ค้าปลีกไตรมาสสุดท้ายของปีคึกคักมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการไม่มีอารมณ์การจับจ่ายมานานกว่าปี ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐที่ทำให้เม็ดเงินถึงฐานรากช่วยกระตุ้นการจับจ่าย รวมทั้ง โครงการ “ช้อปช่วยชาติ" และโครงการ “รวมใจ เพิ่มสุข ช้อปสนุก ลดรับปีใหม่" ภาคเอกชนมีกิจกรรมส่งเสริมการขายยาวถึงมกราคม ปีหน้าทำให้เงินหมุนเวียนเข้าระบบมากขึ้นจะส่งผลให้ภาพรวมดัชนีค้าปลีกปี 60 เติบโต 3.2-3.4%
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,386.03 จุด เพิ่มขึ้น 56.87 จุด (+0.23%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,659.99 จุด เพิ่มขึ้น 8.49 จุด (+0.32%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.08 จุด เพิ่มขึ้น 35.00 จุด (+0.51%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 2.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.26 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.71 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.64 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.80 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 7.45 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 12.30 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.89 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 ธ.ค.60) 1,706.52 จุด เพิ่มขึ้น 3.15 จุด (+0.18%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 832.36 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (7 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 57.99 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 1.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ธ.ค.60) ที่ 7.45 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.60 แนวโน้มแกว่งแคบตามทิศทางภูมิภาค นลท.รอติดตามผลประชุมเฟด
- ตลาดหลักทรัพย์เลื่อน แผนเปิดซื้อขายหุ้นสตาร์ทอัพผ่านไลฟ์ แพลตฟอร์มเป็นต้นปีหน้า จากเดิมกำหนดปลายปีนี้ หวังอุดความเสี่ยงก่อนเปิดระบบเทรด ประเมินความสนใจผู้ลงทุน มีทิศทางที่ดี เชื่อมีสินค้าพร้อมเทรด ด้าน ก้องเกียรติ โอภาสวงการชี้สตาร์ทอัพไทย ไม่น่าสนใจ เพราะยังไม่ได้มาตรฐาน
- คณะรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (EU) แถลงว่า EU ตกลงจะปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทย และกลับเข้าสู่การติดต่อทางการเมืองกับไทยในทุกระดับเพื่อปูทางสู่การเจรจาในประเด็นสำคัญร่วมกัน เนื่องจากไทยมีการรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และเตรียมการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.61 ซึ่งทำให้ไทยมีความเหมาะสมที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ด้วย
- บริษัทวาณิชธนกิจรายใหญ่ ได้แก่ เจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป คาดการณ์ว่าในปี 61 อัตราดอกเบี้ยของประเทศพัฒนาแล้วจะปรับขึ้นเป็นอย่างน้อย 1% เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยจะเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่มากที่สุดตั้งแต่ปี 49
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมติดตามงานที่กระทรวงพาณิชย์อีกรอบ พร้อมเตรียมรายงานความคืบหน้าแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก การดูแลปากท้อง สินค้าเกษตร และแผนผลักดันส่งออกที่จะเน้นการจับมือประเทศเป้าหมายขยายการค้า การลงทุน เผยได้สั่งโละโครงการไม่ตอบโจทย์ไปแล้ว ด้านเป้าปี 61 เตรียมขอรับนโยบาย แต่มั่นใจยังบวกได้ วงในแนะจับตาปรับโฉมการทำงานทูตพาณิชย์ใหม่เน้นรวดเร็ว ฉับไว ขับเคลื่อนเหมือนเอกชน
- ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยสถานการณ์ค้าปลีกไตรมาสสุดท้ายของปีคึกคักมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการไม่มีอารมณ์การจับจ่ายมานานกว่าปี ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐที่ทำให้เม็ดเงินถึงฐานรากช่วยกระตุ้นการจับจ่าย รวมทั้ง โครงการ “ช้อปช่วยชาติ" และโครงการ “รวมใจ เพิ่มสุข ช้อปสนุก ลดรับปีใหม่" ภาคเอกชนมีกิจกรรมส่งเสริมการขายยาวถึงมกราคม ปีหน้าทำให้เงินหมุนเวียนเข้าระบบมากขึ้นจะส่งผลให้ภาพรวมดัชนีค้าปลีกปี 60 เติบโต 3.2-3.4%
*หุ้นเด่นวันนี้
- INTUCH (กสิกรไทย) แนะนำ"ซื้อ"เป้าหมาย 55 บาท มองราคาหุ้นขณะนี้ซื้อขายด้วย discount to NAV ที่ 22% เทียบกับระดับเฉลี่ยที่ 18% ตลาดมีปฏิกิริยากับปัจจัยลบของ THCOM มากเกินไปเนื่องจากคิดเป็นที่น้อยกว่า 3% ของมูลค่ารวม นอกจากนี้ อัตราตอบแทนของ INTUCH อยู่ที่ 5% ซึ่งมากกว่าของ ADVANC ที่อยู่ที่ 4% และจากความไม่ชัดเจนเรื่องการประมูลทำให้ INTUCH น่าสนใจกว่า เราเลือก INTUCH และ TRUE เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม
- TK (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 19.50 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจากถือเป็นซื้อ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/60 จะออกมาดีสุดในรอบ 19 ไตรมาส ที่ 171 ลบ. +29% Q-Q, +18% Y-Y เพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวและจับจ่ายใช้สอย แถมได้แรงหนุนจากยอดจองรถงานมอเตอร์เอกซ์โปที่คาด +20% Y-Y ลงทุนยังเป็นบวกจากการเข้าซื้อของผู้บริหาร 1.3 ล้านหุ้นที่ราคา 23 บาทด้วย
- SQ (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 7.25 บาท แม้ว่าจะพลาดโครงการแม่เมาะ 9 ในอนาคตยังมีโครงการต่างๆ คือ แม่เหมืองเมาะ 10 โครงการเหมืองหงสา และโครงการเหมืองแร่ต่างๆในไทย เมียนมา ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ให้ประมูลอีกหลายโครงการ อีกทั้งมีงานในมือสูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ถึง 9-10 ปี และราคาหุ้นปรับลดลงแรงจนมีอัพไซด์ 33% เพิ่มเกรดเป็น ซื้อ จาก ถือ เทคนิคเล่นเก็งกำไรรีบาวน์
-BBL (กรุงศรี) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 220 บาท มองเป็นหุ้น Top Pick ในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เนื่องจากมีฐานลูกค้ากว่า 62% เป็นลูกค้ารายใหญ่และ SME จึงได้ผลบวกมากที่สุดเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะจากภาคส่งออกและ SME ขณะที่ราคาซื้อขายในปัจจุบัน มี P/E ที่ 11.8 และ P/BV ที่ 0.99 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ที่ 12.3 และ 1.3 เท่าตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้ Div yield อีก 3.2%
- TK (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 19.50 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นจากถือเป็นซื้อ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/60 จะออกมาดีสุดในรอบ 19 ไตรมาส ที่ 171 ลบ. +29% Q-Q, +18% Y-Y เพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวและจับจ่ายใช้สอย แถมได้แรงหนุนจากยอดจองรถงานมอเตอร์เอกซ์โปที่คาด +20% Y-Y ลงทุนยังเป็นบวกจากการเข้าซื้อของผู้บริหาร 1.3 ล้านหุ้นที่ราคา 23 บาทด้วย
- SQ (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 7.25 บาท แม้ว่าจะพลาดโครงการแม่เมาะ 9 ในอนาคตยังมีโครงการต่างๆ คือ แม่เหมืองเมาะ 10 โครงการเหมืองหงสา และโครงการเหมืองแร่ต่างๆในไทย เมียนมา ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ให้ประมูลอีกหลายโครงการ อีกทั้งมีงานในมือสูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท รองรับรายได้ถึง 9-10 ปี และราคาหุ้นปรับลดลงแรงจนมีอัพไซด์ 33% เพิ่มเกรดเป็น ซื้อ จาก ถือ เทคนิคเล่นเก็งกำไรรีบาวน์
-BBL (กรุงศรี) แนะนำ"ซื้อ"เป้า 220 บาท มองเป็นหุ้น Top Pick ในหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เนื่องจากมีฐานลูกค้ากว่า 62% เป็นลูกค้ารายใหญ่และ SME จึงได้ผลบวกมากที่สุดเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะจากภาคส่งออกและ SME ขณะที่ราคาซื้อขายในปัจจุบัน มี P/E ที่ 11.8 และ P/BV ที่ 0.99 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ที่ 12.3 และ 1.3 เท่าตามลำดับ นอกจากนี้ยังให้ Div yield อีก 3.2%
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาประชุมเฟด-ECB
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนต่างจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค. รวมถึงการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 14 ธ.ค.
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,936.41 จุด ลดลง 2.32 จุด, -0.01% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,320.31 จุด ลดลง 1.89 จุด, -0.06% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,972.74 จุด เพิ่มขึ้น 7.45 จุด, +0.03% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,488.73 จุด เพิ่มขึ้น 15.64 จุด, +0.15% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,471.23 จุด ลดลง 0.26 จุด, -0.01% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,459.65 จุด ลดลง 0.80 จุด, -0.02% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,718.76 จุด ลดลง 0.71 จุด, -0.04% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 8,346.27 จุด ลดลง 12.30 จุด, -0.15% ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ที่ 6,038.43 จุด เพิ่มขึ้น 11.80 จุด, +0.20%
ตลาดการเงินจับตาการประชุมระยะเวลา 2 วันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 85% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rates) 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือนมี.ค.และมิ.ย.
ทางด้านนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดก็ได้ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยนางเยลเลนได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวในวงกว้าง และหากมีการปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจก็จะยังคงมีการขยายตัว ขณะที่ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์อ่อนค่า หนุนฟุตซี่ปิดบวก 59.52 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) ด้วยอานิสงส์จากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สืบเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะผลักดันข้อเสนอ Brexit ที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 59.52 จุด หรือ +0.80% ปิดที่ 7,453.48 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะ 1.3361 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3384 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา
สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังมีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษจะยอมรับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาเพื่อตรวจสอบการแก้ไขเนื้อหาในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรปอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยคณะกรรมธิการชุดดังกล่าวจะตรวจสอบดูว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจ “Henry VIII" เกินขอบเขตหรือไม่ ในการอนุญาตให้นางเมย์และคณะรัฐมนตรีปรับแก้กฎหมายได้โดยที่ไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐสภา
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นเอชเอสบีซี พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.1% แต่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.1% และ 0.2% ตามลำดับ
หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ ปิดทรงตัว หลังพุ่งขึ้นในระหว่างวันจากรายงานข่าวที่ว่า บีเออี ซิสเต็มส์ ได้ลงนามในข้อตกลงจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน ให้แก่กองทัพอากาศกาตาร์ จำนวน 24 ลำ มูลค่าประมาณ 5 พันล้านปอนด์ โดยจะเริ่มส่งมอบในช่วงปลายปี 2022
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นเทคโนโลยีร่วง ถ่วงตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดดีดตัวขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.05% ปิดที่ 389.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,123.65 จุด ลดลง 30.05 จุด หรือ -0.23% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,386.83 จุด ลดลง 12.26 จุด หรือ -0.23% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,453.48 จุด เพิ่มขึ้น 59.52 จุด, +0.80%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นไดอะล็อก เซมิคอนดัคเตอร์ ร่วงลง 3.2% หุ้นเอเอ็มเอส ดิ่งลง 1.4% และหุ้นยูบีซอฟท์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ร่วงลง 3.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นเอชเอสบีซี พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.1% แต่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.1% และ 0.2% ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่อย่างหุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ ปิดทรงตัว หลังพุ่งขึ้นในระหว่างวันจากรายงานข่าวที่ว่า บีเออี ซิสเต็มส์ ได้ลงนามในข้อตกลงจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน ให้แก่กองทัพอากาศกาตาร์ จำนวน 24 ลำ มูลค่าประมาณ
ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป โดยได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังมีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษจะยอมรับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาเพื่อตรวจสอบการแก้ไขเนื้อหาในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรปอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยคณะกรรมธิการชุดดังกล่าวจะตรวจสอบดูว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจ “Henry VIII" เกินขอบเขตหรือไม่ ในการอนุญาตให้นางเมย์และคณะรัฐมนตรีปรับแก้กฎหมายได้โดยที่ไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐสภา
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 56.87 จุด รับหุ้นพลังงาน,เทคโนโลยีพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P 500 ปิดทำนิวไฮ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความตื่นตระหนกเกี่ยวกับเหตุก่อการ้ายที่เกิดขึ้นในย่านไทม์สแควร์เมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,386.03 จุด เพิ่มขึ้น 56.87 จุด หรือ +0.23% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,659.99 จุด เพิ่มขึ้น 8.49 จุด หรือ +0.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,875.08 จุด เพิ่มขึ้น 35.00 จุด หรือ +0.51%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.7% นำโดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.9% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นเฟซบุ๊ก ขยับขึ้นราว 0.1% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ ดีดตัวขึ้น 0.2% และหุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 0.7%
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นกว่า 1% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ท่อส่งน้ำมันในภูมิภาคทะเลเหนือของอังกฤษได้ปิดการดำเนินงานเพื่อซ่อมแซม โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.4% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 0.4%
หุ้นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลต่างก็ปรับตัวขึ้น หลังจากมีรายงานว่า สัญญาบิตคอยน์ซึ่งเริ่มทำการซื้อขายวันแรกที่ตลาด CBOE Global Markets Inc เมื่อวานนี้ ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นมาราธอน พาเทนท์ พุ่งขึ้น 41.9% หุ้นไรออท บล็อกเชน ทะยานขึ้น 45.5% และหุ้นเครสวัล แคปิตอล พุ่งขึ้น 46%
ส่วนหุ้นกลุ่มประกันร่วงลง หลังจากสถานการณ์ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียตอนใต้ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยหุ้นทราเวลเลอร์ส คอมพานีส์ และหุ้นออลสเตท คอร์ป ปรับตัวลง 0.4% และ 0.1% ตามลำดับ
สำหรับเหตุก่อการร้ายซึ่งเกิดขึ้นในย่านไทม์สแควร์ เมืองแมนฮัตตันของสหรัฐเมื่อวานนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายตลาดหุ้นนิวยอร์กในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน นักลงทุนก็เริ่มคลายความตื่นตระหนก ซึ่งช่วยให้การซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ตำรวจนิวยอร์กสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง วัย 27 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการที่ไปป์บอมบ์ที่เขาทำขึ้นได้เกิดระเบิดออกมา ขณะที่เหตุก่อการร้ายในครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 4 คน
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้ ขณะที่ตลาดคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือนมี.ค.และมิ.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.
--อินโฟเควสท์
OO3441