WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

27ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ฟื้นตัวตามตลาดภูมิภาค เล็งแรงซื้อกลับหลังขายทำกำไร GULF โยกเข้าลงทุนหุ้นตัวอื่น
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างฟื้นตัวขึ้นได้พอควร ทั้งนี้เมื่อวานนี้ตลาดฯมีความผันผวนอันเนื่องมาจากหุ้น GULF เข้าเทรดวันแรก แต่วันนี้คาดว่าจะมี Fund Flow บางส่วนเริ่มออกจาก GULF แล้วกลับเข้ามาซื้อหุ้นตัวอื่น ซึ่งมองว่าน่าจะมีการทำ Cover short ซึ่งทำให้ตลาดฯน่าจะฟื้นตัวได้
ทั้งนี้ ตลาดสหรัฐฯก็นิ่ง ๆ แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีการปรับฐาน จากสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้น แต่ก็เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดฯเท่าไร พร้อมให้ติดตามร่างพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่าจะออกมาได้เมื่อใด ส่วนปัจจัยนอกประเทศให้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในกลางเดือนนี้ ซึ่งตลาดฯก็คาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่รอบนี้จะมีการรายงาน Dot Plot ด้วยก็ให้ติดตามดู
ก่อนหน้านี้ตลาดฯเข้าสู่ช่วงพักตัว แต่หลังจากนี้มองว่าตลาดฯน่าจะปรับตัวขึ้นได้แล้ว พร้อมให้แนวรับ 1,690 จุด ส่วนแนวต้าน 1,708 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,140.91 จุด ลดลง 39.73 จุด (-0.16%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,629.27 จุด ลดลง 0.30 จุด (-0.01%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,776.38 จุด เพิ่มขึ้น 14.16 จุด (+0.21%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 140.11 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 141.34 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.37 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 10.50 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.38 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.18 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 1.56 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.68 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ธ.ค.60) 1,694.39 จุด ลดลง 3.22 จุด (-0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,319.55 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 55.96 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.66 ดอลลาร์ หรือ 2.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ธ.ค.60) ที่ 6.83 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.63 อ่อนค่าเล็กน้อยหลังไร้ปัจจัยใหม่ ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯพรุ่งนี้
- กกร.คาดส่งออกปีนี้ โตเกินคาด ทะลุ 9% คาดปีหน้าโต 6% จี้รัฐ ดูแลบาทแข็งค่าสูงสุดรอบ 31 เดือน ด้านสภาผู้ส่งออกระบุบาทแข็งฉุดกำไรส่งออก ต้นเหตุเศรษฐกิจฝืด โดยเฉพาะเอสเอ็มอี สวนทางส่งออกโต ขณะการลงทุนภาคเอกชนผงกหัว
- นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้เกิน 4% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง และพื้นฐานของไทยเข้มแข็งจากมาตรการดูแลเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลดำเนินการมา
- รัฐมนตรีคลังสหภาพยุโรป (อียู) มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ที่ผ่านมา ให้ขึ้นบัญชีดำ 17 ประเทศในรายชื่อ "เขตปกครองที่ไม่ให้ความร่วมมือด้านภาษี" เนื่องจากไม่ผ่านมาตรการความโปร่งใสและอัตราภาษีระหว่างประเทศ รวมถึงไม่ให้สัญญาปรับปรุงระบบภาษี โดยปี 2560 เป็นปีแรกที่อียูจัดทำบัญชีดำประเทศที่เป็นแหล่งหลบเลี่ยงภาษี และเปิดเผยรายชื่อประเทศเฝ้าระวังประเด็นดังกล่าวอีก 47 ชาติ ซึ่งไทยติดหนึ่งในประเทศเฝ้าระวังด้วย
- กกร.มองเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวสูง ขณะที่ส่งออกมากกว่ากรอบประมาณการเดิมที่ตั้งไว้ คาดปีหน้าจีดีพีแตะ 4% ห่วงค่าเงินบาทแข็งเร็วกระทบการค้าระหว่างประเทศ ฉุดขีดความสามารถแข่งขัน แนะรัฐบาลดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้นที่อาจส่งผลเชิงลบ หนุนใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 1-1.25% เป็น 1.25-1.5% หลังพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงที่ผ่านมาได้พิสูจน์ถึงความยั่งยืนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ผ่านพัฒนาการของตลาดแรงงาน และเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งด้านการบริโภคและการผลิตที่ยังคงมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง แม้ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 2 ครั้งในปีนี้ รวมทั้งได้เริ่มกระบวนการปรับลดงบดุลในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ด้วยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งสะท้อนจากการขยายตัวของจีดีพี ไตรมาส 3/2560 ที่ขยายตัวได้ 3.3%
*หุ้นเด่นวันนี้
- THG (บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดหมวดธุรกิจการแพทย์ โดยราคาขาย IPO 38 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมปี 2561 ได้เท่ากับ 47 บาท โดยมอง THG กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตครั้งใหญ่ คาดกำไรสุทธิปี 2561-2563 โตเฉลี่ย 47.5% ต่อปี (CAGR) ได้รับอานิสงส์จากความต้องการบริการทางการแพทย์ที่ยังเป็นขาขึ้น แรงหนุนจากธุรกิจรับจ้างเหมาบริหารทางการแพทย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนโครงการใหม่ ๆ ที่จะทะยอยแล้วเสร็จ ซึ่งมองว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีและเป็นประโยชน์ต่อ THG ในแง่ของ Capacity ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
- COMAN (โกลเบล็ก) "ซื้อ"เป้า 8.25 บาท ตั้งเป้าปี 61 รายได้โต 20% ต่อเนื่องจากปีนี้ รับปัจจัยบวกท่องเที่ยว-โรงแรมโต เดินหน้าเจรจาซื้อกิจการ 1-2 รายระบบซอฟท์แวร์เกี่ยวข้องท่องเที่ยว-ทัวร์-จองตั๋วสรุปปี 61
- IRPC (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 7.5 บาท ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 เติบโต 19% จากโครงการ UHV ที่เดินเครื่องเต็มกำลังผลิต รวมไปถึงการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการ PPE/PPC โครงการ UHV Maximize Gas และโรงไฟฟ้า IRPC-CP (ทยอยเริ่มผลิตในช่วง 4Q60) เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ การเติบโตของผลประกอบการปี 61-62 มาจากการลงทุนในโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดจากโครงการ UHV ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จบริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่ม Market GIM อีก 1 - 1.1 เหรียญต่อบาร์เรล
- PTTGC (ยูโอบีเคย์เฮียน) คาดกำไรสุทธิทำจุดสูงสุดในไตรมาส 4/60 และมีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า รับอานิสงส์เชิงบวกจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกรวมถึงราคาเม็ดพลาสติกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน MSCI Global Standard ในช่วงที่ผ่านมาและ คาดแรงขายจากหุ้นซื้อคืน (Treasury stock) ที่ใกล้หมดลง เป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น

ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าฟื้นตัวขึ้น นลท.จับตาสภาคองเกรส-ร่างกม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐ
      ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าวันนี้ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากแรงช้อนซื้อเก็งกำไร โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน ขณะที่นักลงทุนต่างรอดูความคืบหน้าของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีและการประชุมของสภาคองเกรสเพื่ออนุมัติงบประมาณการใช้จ่ายชั่วคราว ตลอดจนสถานการณ์ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมกับเปิดเผยแผนการย้ายสถานทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลม
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 28,226.37 จุด เพิ่มขึ้น 1.57 จุด, +0.01% ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 32,615.05 จุด เพิ่มขึ้น 17.87 จุด, +0.05% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,720.80 จุด เพิ่มขึ้น 2.47 จุด, +0.14%
นักลงทุนในตลาดการเงินจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันพรุ่งนี้ โดยข้อมูลดังกล่าวจะบ่งชี้ถึงแนวโน้มการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นอกจากนี้ ตลาดการเงินจับตาสภาคองเกรสสหรัฐเตรียมลงมติเพื่ออนุมัติงบประมาณการใช้จ่ายชั่วคราวของรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ (8 ธ.ค.) โดยหากสภาคองเกรสมีมติเห็นชอบ ก็จะช่วยให้รัฐบาลมีงบประมาณในการบริหารประเทศหลังจากวันศุกร์ที่ 8 ธ.ค.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 316 ต่อ 90 ให้ปรับเพิ่มเพดานหนี้และอนุมัติงบประมาณชั่วคราวระยะ 3 เดือนสำหรับรัฐบาลในการบริหารประเทศจนถึงวันที่ 8 ธ.ค. เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐ หรือชัตดาวน์

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: เงินปอนด์อ่อนค่า หนุนฟุตซี่ปิดบวก 20.53 จุด
        ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) ด้วยอานิสงส์จากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร สืบเนื่องจากการเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (EU) ยังไร้สัญญาณความคืบหน้าที่สำคัญ
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 20.53 จุด หรือ +0.28% ปิดที่ 7,348.03 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากการที่สกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลง หลังนายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ทางรัฐบาลอังกฤษยังไม่ได้ประเมินผลกระทบของ Brexit ที่มีต่อภาคส่วนต่างๆของระบบเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร โดยเขาชี้แจงว่า เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะดำเนินการเช่นนั้น แต่รัฐบาลจะประเมินหลังจากที่การเจรจา Brexit มีความคืบหน้าไปอีกระยะหนึ่งแล้ว
ถ้อยแถลงของนายเดวิสมีขึ้นในช่วงที่รัฐบาลอังกฤษกำลังเร่งหาข้อสรุปใน 3 ประเด็นหลักก่อนที่จะถึงการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรปในสัปดาห์หน้า โดย 3 ประเด็นสำคัญนี้ได้แก่ วงเงินที่อังกฤษจะชำระแก่ EU สำหรับการแยกตัวออกไป, ปัญหาเรื่องชายแดนของไอร์แลนด์ และประเด็นสิทธิพลเมืองของ EU ในสหราชอาณาจักร
ทั้งนี้ บรรดาผู้นำ EU ได้แสดงจุดยืนว่า สหราชอาณาจักรจะต้องสร้างความชัดเจนในประเด็นเหล่านั้น ก่อนที่สองฝ่ายจะสามารถเดินหน้าการเจรจา Brexit ในขั้นตอนที่สองได้ ซึ่งรวมถึงการเจรจาด้านการค้าและกรอบเวลาการเปลี่ยนผ่านในช่วง Brexit
หุ้นจดทะเบียนที่น่าจับตา หุ้นอีซีเจ็ท พุ่งขึ้น 1.3% หลังเจพีมอร์แกน คาเซนอฟ ได้ปรับขึ้นน้ำหนักความน่าลงทุนในหุ้นสายการบินชั้นประหยัดรายนี้สู่ระดับ "overweight" จากระดับ "underweight"

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นเทคโนโลยีร่วง ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
       ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการร่วงลงของหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง สเตนฮอฟฟ์ อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้งส์ และซากา พีแอลซี
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.1% ปิดที่ 386.32 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,998.85 จุด ลดลง 49.69 จุด หรือ -0.38% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,374.35 จุด ลดลง 1.18 จุด หรือ -0.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,348.03 จุด เพิ่มขึ้น 20.53 จุด หรือ +0.28%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 0.6% นำโดยหุ้นเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ดิ่งลง 3.7% และหุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 1.9% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลที่ว่า นโยบายภาษีขั้นต่ำ (AMT) ในร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐที่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
หุ้นสเตนฮอฟฟ์ อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้งส์ ทรุดฮวบลง 63% หลังจากนายมาร์คัส จูส ซีอีโอของบริษัทได้ประกาศลาออก ภายหลังจากมีการตรวจสอบด้านบัญชี ขณะที่หุ้นซากา ดิ่งลง 21% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ ด้วยอานิสงส์จากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและยูโร สืบเนื่องจากการเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (EU) ยังไร้สัญญาณความคืบหน้าที่สำคัญ
หุ้นอีซีเจ็ท พุ่งขึ้น 1.3% หลังเจพีมอร์แกน คาเซนอฟ ได้ปรับขึ้นน้ำหนักความน่าลงทุนในหุ้นสายการบินชั้นประหยัดรายนี้สู่ระดับ "overweight" จากระดับ "underweight"
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ กระทรวงเศรษฐกิจของเยอรมนีรายงานว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานประจำเดือนต.ค.ขยายตัว 0.5% หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเดือนก.ย.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 39.73 จุด เหตุหุ้นพลังงานร่วงหลังราคาน้ำมันดิ่ง
       ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ธ.ค.) โดยตลาดได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิ่งลงเกือบ 3% นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ หลังจากวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงที่ฉิวเฉียดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,140.91 จุด ลดลง 39.73 จุด หรือ -0.16% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,629.27 จุด ลดลง 0.30 จุด หรือ -0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,776.38 จุด เพิ่มขึ้น 14.16 จุด หรือ +0.21%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวลง 0.7% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.6% และหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ร่วงลงกว่า 2% โดยปัจจัยที่ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานนั้น มาจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดิ่งลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
หุ้นโฮม ดีโปท์ ร่วงลง 1.12% หลังจากบริษัทประกาศแผนซื้อคืนหุ้นมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส ดิ่งลง 1.7% หลังจากบริษัทได้ออกแถลงการณ์เตือนเกี่ยวกับความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน หลังจากวุฒิสภาสหรัฐมีมติรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด 51-49 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันทุกคนยกเว้นนายบ็อบ คอร์กเกอร์ ต่างลงคะแนนเสียงรับรองร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตทุกคนลงคะแนนเสียงไม่รับรองร่างกฎหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ สภาคองเกรสสหรัฐกำลังอยู่ในขั้นตอนการรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน และให้การอนุมัติ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
สำหรับความแตกต่างสำคัญระหว่างร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในฉบับของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรคือ ร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดให้การปรับลดภาษีมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า ในขณะที่ร่างของวุฒิสภาจะชะลอการปรับลดภาษีจนกว่าจะถึงปี 2562
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวกหลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟท์ หุ้นเฟซบุ๊ก และหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1% ขณะที่หุ้นอเมซอนดอทคอม ขยับขึ้น 0.9%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 235,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ประสิทธิภาพในการผลิตของแรงงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐพุ่งขึ้น 3.0% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2557 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.5% ในไตรมาส 2
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนในวันพรุ่งนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนต.ค.
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่จะบ่งชี้ถึงแนวโน้มการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.จะเพิ่มขึ้นเพียง 188,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าเดือนต.ค.ที่เพิ่มขึ้น 261,000 ตำแหน่ง และคาดว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ย.จะขยับขึ้นสู่ระดับ 4.2% จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 4.1%
--อินโฟเควสท์
OO3257

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!