- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 01 December 2017 12:22
- Hits: 3235
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นฟื้นตัวหลังร่วงแรงวานนี้ เล็งเม็ดเงิน LTF,RMF หนุนหลังดัชนีฯลงต่ำกว่า 1,700 จุด
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากที่เมื่อวานนี้บ้านเราได้ปรับตัวลงแรง จากความคาดหวังเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะเข้ามาช่วยหนุนหลังจากที่ดัชนีฯปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1,700 จุด ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็ออกมาดี ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก, การท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งในไตรมาส 4/60 ก็มีมาตรการ"ช็อปช่วยชาติ"เข้ามาช่วยหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยได้อีก ทำให้คาดว่าวันนี้ตลาดฯน่าจะมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มค้าปลีกเข้ามาช่วยหนุนด้วย
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบเล็กน้อย คาดว่าจะเป็นเพราะแรงกดดันจากที่วุฒิสภาสหรัฐฯได้เลื่อนการโหวตเสียงร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีไปเป็นเช้าวันศุกร์ (ตามเวลาสหรัฐฯ) แต่ทั้งนี้ ตลาดฯก็ยังมีข่าวดีจากผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ได้ขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปถึงสิ้นปีหน้า ซึ่งถือว่าดีสุดที่ตลาดคาดไว้ ทำให้น่าจะมาช่วยหนุนราคาน้ำมันให้ทรงตัวสูงได้อยู่
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,694-1,704 จุด
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,694-1,704 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,272.35 จุด พุ่งขึ้น 331.67 จุด (+1.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,647.58 จุด เพิ่มขึ้น 21.51 จุด (+0.82%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,873.97 จุด เพิ่มขึ้น 49.58 จุด (+0.73%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 191.97 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 83.96 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 31.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 12.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.31 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันประสูติท่านนบีมูฮัมหมัด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 พ.ย.60) 1,697.39 จุด ลดลง 7.94 จุด (-0.47%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 149.03 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 57.40 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 พ.ย.60) ที่ 7.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.63 ก่อนอ่อนค่ามาที่ 32.65 แนวโน้มเคลื่อนไหวตามภูมิภาค
- ฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือน พ.ค.2560 มูลค่าการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำสถิติสูงสุดสอดคล้องกับภาพรวมการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย โดยในปี 2560 มูลค่าถือครองหลักทรัพย์รวมของนักลงทุนเอเชียอยู่ที่ 1.68 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.88% จากปี 2559 และคิดเป็น 36.4% ของมูลค่ารวมการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งกว่า 50% ของมูลค่าการถือครองหลักทรัพย์โดยรวมของนักลงทุนเอเชีย อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มเทคโนโลยี
- นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาคธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องโดยคาดว่าเดือน พ.ย.นี้ การบริโภคภาคเอกชนจะกลับมาขยายตัวได้ดีหลังจากเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราว ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการช็อปช่วยชาติจะช่วยกระตุ้นการจับจ่าย ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 อาจจะขยายตัวได้ในอัตราสูงถึง 4.6% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2560 มีโอกาส ขยายตัว 4% สูงกว่าที่ ธปท.คาดไว้ในการประมาณการก่อนหน้าว่าจะโตในอัตรา 3.8%
- ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดระเบียบสายการบินเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหานอมินีหรือคนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติในสายการบินไทยที่จดทะเบียนในประเทศไทยว่า ก่อนหน้านี้ กพท.ได้ออกประกาศบังคับใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ(Air Operator License หรือเอโอแอล) ฉบับใหม่โดยกำหนดให้ทุกสายการบินที่จดทะเบียนในไทย 48 ราย จะต้องนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของแต่ละสายการบินเสนอให้ กพท.พิจารณาภายใน 20 ม.ค.61 หากสายการบินไหนไม่ยื่นข้อมูลให้ กพท.ภายในกำหนด จะถูกพักใบอนุญาตประกอบการและถูกสั่งห้ามบินทันที และหากในอนาคตต้องการทำการบินจะต้องยื่นขอเอโอแอลใหม่
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,272.35 จุด พุ่งขึ้น 331.67 จุด (+1.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,647.58 จุด เพิ่มขึ้น 21.51 จุด (+0.82%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,873.97 จุด เพิ่มขึ้น 49.58 จุด (+0.73%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 191.97 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 83.96 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 31.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 12.55 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.31 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันประสูติท่านนบีมูฮัมหมัด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 พ.ย.60) 1,697.39 จุด ลดลง 7.94 จุด (-0.47%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 149.03 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 57.40 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 พ.ย.60) ที่ 7.15 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.63 ก่อนอ่อนค่ามาที่ 32.65 แนวโน้มเคลื่อนไหวตามภูมิภาค
- ฝ่ายวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือน พ.ค.2560 มูลค่าการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำสถิติสูงสุดสอดคล้องกับภาพรวมการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย โดยในปี 2560 มูลค่าถือครองหลักทรัพย์รวมของนักลงทุนเอเชียอยู่ที่ 1.68 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.88% จากปี 2559 และคิดเป็น 36.4% ของมูลค่ารวมการถือครองหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งกว่า 50% ของมูลค่าการถือครองหลักทรัพย์โดยรวมของนักลงทุนเอเชีย อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มเทคโนโลยี
- นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาคธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องโดยคาดว่าเดือน พ.ย.นี้ การบริโภคภาคเอกชนจะกลับมาขยายตัวได้ดีหลังจากเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงจากปัจจัยชั่วคราว ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการช็อปช่วยชาติจะช่วยกระตุ้นการจับจ่าย ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 อาจจะขยายตัวได้ในอัตราสูงถึง 4.6% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2560 มีโอกาส ขยายตัว 4% สูงกว่าที่ ธปท.คาดไว้ในการประมาณการก่อนหน้าว่าจะโตในอัตรา 3.8%
- ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดระเบียบสายการบินเพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหานอมินีหรือคนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติในสายการบินไทยที่จดทะเบียนในประเทศไทยว่า ก่อนหน้านี้ กพท.ได้ออกประกาศบังคับใช้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตให้ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ(Air Operator License หรือเอโอแอล) ฉบับใหม่โดยกำหนดให้ทุกสายการบินที่จดทะเบียนในไทย 48 ราย จะต้องนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของแต่ละสายการบินเสนอให้ กพท.พิจารณาภายใน 20 ม.ค.61 หากสายการบินไหนไม่ยื่นข้อมูลให้ กพท.ภายในกำหนด จะถูกพักใบอนุญาตประกอบการและถูกสั่งห้ามบินทันที และหากในอนาคตต้องการทำการบินจะต้องยื่นขอเอโอแอลใหม่
*หุ้นเด่นวันนี้
- GPI (บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล) เทรดวันนี้วันแรกใน SET โดยเสนอขาย IPO ที่ 3.50 บาท/หุ้น บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินราคาเหมาะสมที่ 4.30 บาท (ด้วยค่าเฉลี่ย PE ของ CMO ที่ 17.40 เท่า)
บริษัทฯประกอบธุรกิจรับจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น งาน Bangkok International Motor Show นอกจากนี้ยังผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารเกี่ยวข้องกับยานยนต์ โดยรายได้หลักกว่า 70% จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 – 2 ของทุกปีจากการจัดงาน Motor Show ช่วง Q4/60 นี้ จึงมองว่าจะยังคงขาดทุน แต่ขาดทุนลดลง เนื่องจากมีการจัดงานใหญ่อย่าง Air Race 1 ที่จัดให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นงานระดับภูมิภาคเอเชีย
- FTE (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 5 บาท ผู้บริหารยังมองบวกต่อการเติบโตในปีหน้า โดยคาดรายได้ +20% Y-Y มากกว่าคาดการณ์ที่ 16% Y-Y จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน และการป้องกันไฟไหม้ในโรงงานมากขึ้น ขณะที่ 4Q60 มีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งดีกว่าที่เคยคาดว่าจะชะลอตัว Q-Q เพราะมีการปิดงานโครงการได้มากขึ้น และเป็นงานที่อัตรากำไรสูงเพราะเข้ารับงานตรงและต้นทุนถูกลงจากบาทแข็ง ขณะที่ งานขายเร่งส่งมอบได้มากกว่า 1H60 ตามการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มคอนโดฯ โดยมองแนวโน้มปรับประมาณการปีนี้ขึ้น
- TMB (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 3.15 บาท จากการเปิดเผยแผนธุรกิจของ TMB จึงปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้นเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่ดีกว่าคาดไว้เดิม และยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแผน 5 ปีของธนาคารที่ตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้รวมเป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน
- BEAUTY (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 23.60 บาท ผู้บริหารได้เปิดเผยว่า ได้มีขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยส่งสินค้ายอดนิยมภายใต้แบรนด์ BEAUTY BUFFET เข้าจำหน่ายในร้าน Boots 145 สาขาทั่วประเทศ โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย มองว่ายอดขายของ BEAUTY BUFFET จะเติบโตสูงYoY ใน Q4/60 จากแรงหนุนของลูกค้าไทยที่มีความเชื่อมั่นในการบริโภคมากขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า ยอดขายของ BEAUTY BUFFET จะมีสัดส่วนอยู่ 58% ของรายได้ทั้งหมด
บริษัทฯประกอบธุรกิจรับจัดงานแสดงสินค้า และกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น งาน Bangkok International Motor Show นอกจากนี้ยังผลิตและจัดจำหน่ายนิตยสารเกี่ยวข้องกับยานยนต์ โดยรายได้หลักกว่า 70% จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1 – 2 ของทุกปีจากการจัดงาน Motor Show ช่วง Q4/60 นี้ จึงมองว่าจะยังคงขาดทุน แต่ขาดทุนลดลง เนื่องจากมีการจัดงานใหญ่อย่าง Air Race 1 ที่จัดให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นงานระดับภูมิภาคเอเชีย
- FTE (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 5 บาท ผู้บริหารยังมองบวกต่อการเติบโตในปีหน้า โดยคาดรายได้ +20% Y-Y มากกว่าคาดการณ์ที่ 16% Y-Y จากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน และการป้องกันไฟไหม้ในโรงงานมากขึ้น ขณะที่ 4Q60 มีลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งดีกว่าที่เคยคาดว่าจะชะลอตัว Q-Q เพราะมีการปิดงานโครงการได้มากขึ้น และเป็นงานที่อัตรากำไรสูงเพราะเข้ารับงานตรงและต้นทุนถูกลงจากบาทแข็ง ขณะที่ งานขายเร่งส่งมอบได้มากกว่า 1H60 ตามการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มคอนโดฯ โดยมองแนวโน้มปรับประมาณการปีนี้ขึ้น
- TMB (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 3.15 บาท จากการเปิดเผยแผนธุรกิจของ TMB จึงปรับประมาณการกำไรปี 2561 ขึ้นเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่ดีกว่าคาดไว้เดิม และยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแผน 5 ปีของธนาคารที่ตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้รวมเป็นเท่าตัวจากปัจจุบัน
- BEAUTY (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 23.60 บาท ผู้บริหารได้เปิดเผยว่า ได้มีขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยส่งสินค้ายอดนิยมภายใต้แบรนด์ BEAUTY BUFFET เข้าจำหน่ายในร้าน Boots 145 สาขาทั่วประเทศ โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย มองว่ายอดขายของ BEAUTY BUFFET จะเติบโตสูงYoY ใน Q4/60 จากแรงหนุนของลูกค้าไทยที่มีความเชื่อมั่นในการบริโภคมากขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่า ยอดขายของ BEAUTY BUFFET จะมีสัดส่วนอยู่ 58% ของรายได้ทั้งหมด
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ รับความหวังวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกม.ปฏิรูปภาษี
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 24,000 จุดเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ หลังจากนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในการลงมติในวุฒิสภาวันนี้ ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,916.93 จุด เพิ่มขึ้น 191.97 จุด, +0.84% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,315.11 จุด ลดลง 2.08 จุด, -0.06% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,261.31 จุด เพิ่มขึ้น 83.96 จุด, +0.29% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,591.62 จุด เพิ่มขึ้น 31.18 จุด, +0.30% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,488.92 จุด เพิ่มขึ้น 12.55 จุด, +0.51% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,441.85 จุด เพิ่มขึ้น 8.31 จุด, +0.24% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้เนื่องในวันประสูติท่านนบีมูฮัมหมัด
นายจอห์น แมคเคน ได้ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาสหรัฐ โดยนายแมคเคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชาวอเมริกัน กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง
นักลงทุนขานรับความเคลื่อนไหวของนายแมคเคนเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายแมคเคนอยู่ในกลุ่มวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันเพียงไม่กี่คนที่ยังไม่ได้ออกมายืนยันการสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี
ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ ซึ่งการลงมติในขั้นตอนสุดท้ายจะมีขึ้นในช่วงเช้าวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ โดยหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สภาคองเกรสสหรัฐก็จะต้องรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 24,000 จุดเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ หลังจากนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในการลงมติในวุฒิสภาวันนี้ ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,916.93 จุด เพิ่มขึ้น 191.97 จุด, +0.84% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,315.11 จุด ลดลง 2.08 จุด, -0.06% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,261.31 จุด เพิ่มขึ้น 83.96 จุด, +0.29% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,591.62 จุด เพิ่มขึ้น 31.18 จุด, +0.30% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,488.92 จุด เพิ่มขึ้น 12.55 จุด, +0.51% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,441.85 จุด เพิ่มขึ้น 8.31 จุด, +0.24% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้เนื่องในวันประสูติท่านนบีมูฮัมหมัด
นายจอห์น แมคเคน ได้ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาสหรัฐ โดยนายแมคเคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชาวอเมริกัน กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง
นักลงทุนขานรับความเคลื่อนไหวของนายแมคเคนเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายแมคเคนอยู่ในกลุ่มวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันเพียงไม่กี่คนที่ยังไม่ได้ออกมายืนยันการสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี
ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ ซึ่งการลงมติในขั้นตอนสุดท้ายจะมีขึ้นในช่วงเช้าวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ โดยหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สภาคองเกรสสหรัฐก็จะต้องรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 66.89 จุด เหตุเงินปอนด์แข็งค่ารับความหวังเจรจา Brexit คืบหน้า
ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ด้วยแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นขานรับกระแสคาดหวังที่ว่า การเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) จะมีความคืบหน้าที่สำคัญ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 66.89 จุด หรือ -0.90% ปิดที่ 7,326.67 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังหนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์สของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงในประเด็นเกี่ยวกับไอร์แลนด์เหนือกับคณะผู้แทนเจรจาของ EU ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหว่างสหราชอาณาจักรกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์
ทั้งนี้สหภาพยุโรปได้ออกมาแสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า EU และอังกฤษจำเป็นต้องสะสางปัญหาพรมแดนกับไอร์แลนด์ให้เสร็จสิ้นก่อนที่สองฝ่ายจะสามารถเดินหน้ากระบวนการเจรจา Brexit เพื่อตกลงกันในประเด็นอื่นๆต่อไป ทั้งในเรื่องของการค้า, กรอบเวลาในการเปลี่ยนผ่านในช่วง Brexit, สิทธิพลเมือง EU ในอังกฤษ และขนาดของร่างกฎหมาย Brexit ฉบับสุดท้าย
ค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นแตะระดับ 1.3498 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3410 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เนื่องจากเงินรายได้ราว 75% ของบริษัทเหล่านี้มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
หุ้นบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตา หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 1.9% หลังบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยักษ์ใหญ่รายนี้เปิดเผยว่า มาตรฐานการบัญชีใหม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปีงบการเงิน 2561 หรือหลังจากนั้น
หุ้นเพอร์ซิมมอน บริษัทสร้างบ้านรายใหญ่ ร่วงลง 2% หลังเนชั่นไวด์เปิดเผยราคาบ้านในสหราชอาณาจักรที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ด้วยแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นขานรับกระแสคาดหวังที่ว่า การเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) จะมีความคืบหน้าที่สำคัญ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 66.89 จุด หรือ -0.90% ปิดที่ 7,326.67 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังหนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์สของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงในประเด็นเกี่ยวกับไอร์แลนด์เหนือกับคณะผู้แทนเจรจาของ EU ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหว่างสหราชอาณาจักรกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์
ทั้งนี้สหภาพยุโรปได้ออกมาแสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า EU และอังกฤษจำเป็นต้องสะสางปัญหาพรมแดนกับไอร์แลนด์ให้เสร็จสิ้นก่อนที่สองฝ่ายจะสามารถเดินหน้ากระบวนการเจรจา Brexit เพื่อตกลงกันในประเด็นอื่นๆต่อไป ทั้งในเรื่องของการค้า, กรอบเวลาในการเปลี่ยนผ่านในช่วง Brexit, สิทธิพลเมือง EU ในอังกฤษ และขนาดของร่างกฎหมาย Brexit ฉบับสุดท้าย
ค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นแตะระดับ 1.3498 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3410 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เนื่องจากเงินรายได้ราว 75% ของบริษัทเหล่านี้มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
หุ้นบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตา หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 1.9% หลังบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยักษ์ใหญ่รายนี้เปิดเผยว่า มาตรฐานการบัญชีใหม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปีงบการเงิน 2561 หรือหลังจากนั้น
หุ้นเพอร์ซิมมอน บริษัทสร้างบ้านรายใหญ่ ร่วงลง 2% หลังเนชั่นไวด์เปิดเผยราคาบ้านในสหราชอาณาจักรที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ จากแรงขายหุ้นพลังงาน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มผู้ผลิตนอกโอเปก มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปีหน้าก็ตาม อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของยูโรโซน และการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาดระหว่างวัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.3% ปิดที่ 386.71 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,372.79 จุด ลดลง 25.26 จุด หรือ -0.47% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,023.98 จุด ลดลง 37.89 จุด หรือ -0.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,326.67 จุด ลดลง 66.89 จุด หรือ -0.90%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นบีพี และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ร่วงลง 1.1% ขณะที่หุ้นโททาล ปรับตัวลง 0.6% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดลอนดอน กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่ากลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก นำโดยรัสเซีย เห็นพ้องกันในการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปีหน้า จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในไตรมาสแรกของปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของยูโรโซนได้ช่วยสกัดแรงลบในระหว่างวัน โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่าว่า อัตราการว่างงานในยูโรโซนปรับตัวลงสู่ระดับ 8.8% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 ส่วนอัตราการว่างงานในสหภาพยุโรปปรับตัวลงสู่ระดับ 7.5% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2551
หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายเจอโรม พาวเวล ว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดการเงิน โดยหุ้นเครดิต สวิส ทะยานขึ้น 2%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มผู้ผลิตนอกโอเปก มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปีหน้าก็ตาม อย่างไรก็ดี ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของยูโรโซน และการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาดระหว่างวัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.3% ปิดที่ 386.71 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,372.79 จุด ลดลง 25.26 จุด หรือ -0.47% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,023.98 จุด ลดลง 37.89 จุด หรือ -0.29% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,326.67 จุด ลดลง 66.89 จุด หรือ -0.90%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นบีพี และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ร่วงลง 1.1% ขณะที่หุ้นโททาล ปรับตัวลง 0.6% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดลอนดอน กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย แม้ว่ากลุ่มโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก นำโดยรัสเซีย เห็นพ้องกันในการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปีหน้า จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในไตรมาสแรกของปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของยูโรโซนได้ช่วยสกัดแรงลบในระหว่างวัน โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่าว่า อัตราการว่างงานในยูโรโซนปรับตัวลงสู่ระดับ 8.8% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 ส่วนอัตราการว่างงานในสหภาพยุโรปปรับตัวลงสู่ระดับ 7.5% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2551
หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายเจอโรม พาวเวล ว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดการเงิน โดยหุ้นเครดิต สวิส ทะยานขึ้น 2%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 331.67 จุด รับความหวังวุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกม.ปฏิรูปภาษี
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดที่เหนือระดับ 24,000 จุดเป็นครั้งแรก หลังจากนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในการลงมติในวุฒิสภาวันนี้ ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,272.35 จุด พุ่งขึ้น 331.67 จุด หรือ +1.39% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,873.97 จุด เพิ่มขึ้น 49.58 จุด หรือ +0.73% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,647.58 จุด เพิ่มขึ้น 21.51 จุด หรือ +0.82%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากนายจอห์น แมคเคน ได้ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาสหรัฐ โดยนายแมคเคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชาวอเมริกัน กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง
นักลงทุนขานรับความเคลื่อนไหวของนายแมคเคนเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายแมคเคนอยู่ในกลุ่มวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันเพียงไม่กี่คนที่ยังไม่ได้ออกมายืนยันการสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี
ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ ซึ่งการลงมติในขั้นตอนสุดท้ายจะมีขึ้นในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ โดยหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สภาคองเกรสสหรัฐก็จะต้องรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น 0.6% จากความหวังที่ว่า มาตรการปรับลดภาษีจะช่วยสนับสนุนภาคธนาคารให้แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทะยานขึ้นเกือบ 2% อันเนื่องมาจากความหวังเกี่ยวกับมาตรการปรับลดภาษีเช่นกัน
หุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ดีดตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.4%
หุ้นโครเกอร์ พุ่งขึ้น 6.1% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่หุ้นแอล แบรนด์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ชุดชั้นใน "Victoria's Secret" ทะยานขึ้น 6.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่สูงขึ้นในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 238,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 240,000 ราย
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. ส่วนตัวเลขการออมของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.573 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. จากระดับ 4.299 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค.
OO3102
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดที่เหนือระดับ 24,000 จุดเป็นครั้งแรก หลังจากนายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในการลงมติในวุฒิสภาวันนี้ ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2
ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,272.35 จุด พุ่งขึ้น 331.67 จุด หรือ +1.39% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,873.97 จุด เพิ่มขึ้น 49.58 จุด หรือ +0.73% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,647.58 จุด เพิ่มขึ้น 21.51 จุด หรือ +0.82%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากนายจอห์น แมคเคน ได้ประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมีความหวังมากขึ้นว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภาสหรัฐ โดยนายแมคเคนได้แสดงความเชื่อมั่นว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชาวอเมริกัน กระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระภาษีสำหรับครอบครัวชนชั้นกลาง
นักลงทุนขานรับความเคลื่อนไหวของนายแมคเคนเป็นอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ นายแมคเคนอยู่ในกลุ่มวุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันเพียงไม่กี่คนที่ยังไม่ได้ออกมายืนยันการสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี
ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐได้เริ่มกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ ซึ่งการลงมติในขั้นตอนสุดท้ายจะมีขึ้นในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ โดยหากวุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าว สภาคองเกรสสหรัฐก็จะต้องรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น 0.6% จากความหวังที่ว่า มาตรการปรับลดภาษีจะช่วยสนับสนุนภาคธนาคารให้แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมทะยานขึ้นเกือบ 2% อันเนื่องมาจากความหวังเกี่ยวกับมาตรการปรับลดภาษีเช่นกัน
หุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ดีดตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.4%
หุ้นโครเกอร์ พุ่งขึ้น 6.1% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่หุ้นแอล แบรนด์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ชุดชั้นใน "Victoria's Secret" ทะยานขึ้น 6.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่สูงขึ้นในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 238,000 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 240,000 ราย
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. ส่วนตัวเลขการออมของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.573 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. จากระดับ 4.299 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนต.ค.
OO3102