WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

17ดัชนีเช้านี้แกว่งหลังเฟดคงดอกเบี้ย แต่ราคาน้ำมันทรงตัวสูง-ถ่านหินพุ่งเด่น แนะเลือกเล่นรายตัว
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้ม
       นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,710-1,720 จุด ซึ่งดัชนีฯคงจะเคลื่อนไหวทรงตัวภายหลังจากที่เมื่อวานนี้ขึ้นทดสอบแถว 1,730 จุด แล้วยังไม่ผ่าน อีกทั้งราคาหุ้น SCC ที่ปรับลดลงหลังประกาศงบไตรมาส 3/60 วานนี้กดดันตลาดฯ
     อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังทรงตัวในระดับสูง และราคาถ่านหินก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะราคาถ่านหินนิวคาสเซิล จึงแนะนำหุ้น BANPU นอกจากนี้ เชื่อว่านักลงทุนคงจะเลือกลงทุนเป็นรายตัว โดยให้เลือกลงทุนหุ้น PLANB เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะทำจุดสูงสุดใหม่ พร้อมติดตามการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/60 ของ ADVANC และ PTTEP ที่จะประกาศออกมาในวันนี้
      ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ภายหลังจากผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาให้คงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ทั้งนี้ช่วงนี้แต่ละตลาดในภูมิภาคคงจะแกว่งตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของแต่ละตลาดฯ
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (1 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,435.01 จุด เพิ่มขึ้น 57.77 จุด (+0.25%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,579.36 จุด เพิ่มขึ้น 4.10 จุด (+0.16%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,716.53 จุด ลดลง 11.14 จุด (-0.17%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 92.10 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 4.26 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 10.89 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 8.73 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 3.87 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 7.53 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.01 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (1 พ.ย.60) 1,714.55 จุด ลดลง 6.82 จุด (-0.40%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,040.67 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 พ.ย.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (1 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 54.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.19%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (1 พ.ย.60) ที่ 7.50 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.13 แนวโน้มแข็งยังค่าต่อ มองกรอบวันนี้ 33.05-33.15
- เวิลด์แบงก์ได้จัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือดูอิ้ง บิซิเนส 2018 โดยเปรียบเทียบ 190 ประเทศทั่วโลก ผลปรากฏว่า ไทยได้อันดับที่ 26 ดีขึ้น 20 ลำดับจากครั้งที่ผ่านมาได้ลำดับที่ 46
- สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ตลาดดำเนินการซื้อขาย ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2560 มีมูลค่าการถือครองรวม 4.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 7.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.93% จากสิ้นเดือน พ.ค. 2559
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังดำเนินการศึกษามาตรการช็อปช่วยชาติ โดยเปิดให้ประชาชนซื้อสินค้าที่มีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย นำมาขอหักลดหย่อนภาษีเงินได้ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ศึกษาข้อดีและข้อเสียของมาตรการหากจะนำมาใช้ในปีนี้อีกครั้ง
- เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ได้กำหนดร่างหลักเกณฑ์ และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ เพื่อเตรียมเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานรายใหม่จากเดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน วันที่ 15 ก.ย.2561 นี้
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ได้จัดทำร่างประกาศเพิ่มเติมเพื่ออนุโลมให้มีการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ใต้พื้นที่สายส่งไฟฟ้าของ กฟผ.เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมนำเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) กฟผ.พิจารณา คาดว่า จะประชุมบอร์ดวันที่ 27 พฤศจิกายน แต่จะเสนอประเด็นดังกล่าวเข้าที่ประชุมทันหรือไม่ต้องติดตามอีกครั้ง โดยพื้นที่สายส่งที่ว่านี้อาจเป็นพื้นที่ของชาวบ้านทั่วไป เมื่อประกาศแล้วเสร็จใครจะเข้ามาทำก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น กฟผ.เท่านั้น โดยหลังจากนี้ กฟผ.จะรวบรวมข้อมูลสายส่งทั่วประเทศ เพื่อกำหนดพื้นที่ที่จะสามารถลงได้จริง
*หุ้นเด่นวันนี้
- TITLE (บมจ.ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ราคาขาย IPO 2.20 บาท/หุ้น บริษัทฯดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม"The Title"ตั้งอยู่ ณ หาดราไวย์ และหาดในยาง จ.ภูเก็ต ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างขาย 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,167 ล้านบาท และอยู่ระหว่างพัฒนา 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,295 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
- IVL (ธนชาต) "ซื้อ" เป้า 55 บาท (เดิม 46 บาท) ราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็น PET, EO/EG, และ PTA ส่งผลให้ปรับอัตรากำไร และกำไรปี 60-61 ขึ้น 21-19% ขณะที่การเข้าลงทุนเพิ่มในผลิตภัณฑ์ HVA (high value added) จะเพิ่มอัตรากำไรเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป มอง PE61 ที่ 14x ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 2 ปีที่ผ่านมา"ไม่แพง"เพราะมีการเติบโตกำไรเร่งขึ้น
- MODERN (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.80 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/60 +275% Q-Q, +144% Y-Y อยู่ที่ 80 ลบ.จากลูกค้าคอนโดและออฟฟิศที่ฟื้นตัว รวมถึงการรับรู้รายได้ของโมเดิร์นฟอร์มแฮลท์แอนด์แคร์ (MHC) ที่กำลังอยู่ในช่วงโตสูง พร้อมคาดงบผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เพราะกระแส coworking space มาแรง, ทำตลาดแบบโฟกัสมากขึ้น,ค่าใช้จ่ายเริ่มนิ่งหลังปรับโครงสร้างองค์กร ด้านธุรกิจรับเหมาตกแต่งห้องผ่าตัดของ MHC จะเรียกศรัทธาให้อีกครั้ง เพราะแข่งขันต่ำและอยู่ใน mega trend เมื่อคิดกลับเป็นมูลค่า MODERN คาดสูงถึง 2.40 บาท/หุ้น เมื่อผนวกกับเงินสดในมือ 0.70 บาท/หุ้น และปันผล 6-8% ต่อปี และราคาปัจจุบันแทบไม่เหลือ Downside
- MILL (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง และผลงาน H2/60 เร่งตัวขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ราคาเหล้กผ่านจุดต่ำสุดหลังอุปสงค์-อุปทาน มีความสมดุลมากขึ้น การผลิตเหล็กสำหรับยานยนต์ที่ Kobelco Millcon (ถือหุ้น 50%) จะทำให้ขาดทุนของบริษัทลูกพลิกเป็นกำไรในปี 61 ราคายังต่ำกว่าการขอซื้อหุ้นโดยสมัครใจของผู้บริหารที่ 1.80 บาท
 
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยชื่อประธานเฟดคนใหม่
       ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,512.18 จุด เพิ่มขึ้น 92.10 จุด, +0.41% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,391.65 จุด ลดลง 4.26 จุด, -0.13% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,604.95 จุด เพิ่มขึ้น 10.89 จุด, +0.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,797.63 จุด ลดลง 8.73 จุด, -0.08% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,560.34 จุด เพิ่มขึ้น 3.87 จุด, +0.15% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,384.08 จุด ลดลง 7.53 จุด, -0.22% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,743.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด, +0.00%
       นักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ แทนนางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีหน้า โดยปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยชื่อประธานเฟดคนใหม่ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
ทั้งนี้ สื่อหลายสำนักระบุว่า ปธน.ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเลือกนายเจอโรม พาวเวล ให้ขึ้นทำหน้าที่ประธานเฟด โดยเชื่อว่าหากนายพาวเวลได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่ประธานเฟด เขาจะเดินหน้าสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามแนวทางของนางเยลเลน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.จะเพิ่มขึ้น 300,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนต.ค. จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: หุ้นค้าปลีกร่วง ฉุดฟุตซี่ปิดลบ 5.12 จุด
     ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) ด้วยแรงฉุดจากหุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่างเน็กซ์ และธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งร่วงลงหลังเปิดเผยรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3/2560
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 5.12 จุด หรือ -0.07% ปิดที่ 7,487.96 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ถูกกดดันจากหุ้นบริษัทค้าปลีกชั้นนำอย่างเน็กซ์ ซึ่งดิ่งลงถึง 9.1% ภายหลังจากบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่รายนี้ได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรก่อนหักภาษีและยอดขายในปีนี้ แม้ว่ายอดขายในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบรายปีก็ตาม
หุ้นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่อื่นๆ ปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ร่วงลง 4.5% ขณะที่หุ้นแอสโซซิเอทเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพรีมาร์ค ร่วงลง 2.1%
หุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ดิ่งลง 6.1% ถึงแม้ทางธนาคารจะเปิดเผยว่ามีกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวสู่ระดับ 774 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่น่าจับตา หุ้นอันโตฟากัสตา เพิ่มขึ้น 1.6% หุ้นแองโกล อเมริกัน เพิ่มขึ้น 3.4% และหุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 3.5%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยผลการสำรวจว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้นแตะระดับ 56.3 ในเดือนต.ค. จากระดับ 56.0 ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้ เพื่อดูว่า BoE จะตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งประวัติศาสตร์หรือไม่
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก หลังหุ้นเหมืองพุ่งรับ PMI ภาคการผลิตจีน
      ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ หลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของจีนยังคงมีการขยายตัวในเดือนต.ค. ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้น หลังจากบริษัทรถยนต์รายใหญ่มียอดขายเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 396.77 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2558
   ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,514.29 จุด เพิ่มขึ้น 11.00 จุด หรือ +0.20% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,465.51 จุด เพิ่มขึ้น 235.94 จุด หรือ +1.78% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,487.96 จุด ลดลง 5.12 จุด หรือ -0.07%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น หลังจากผลสำรวจของไฉซินและมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน อยู่ที่ระดับ 51.0 ในเดือนต.ค. ซึ่งแม้ว่าทรงตัวจากเดือนก.ย. แต่ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนมีการขยายตัว
ทั้งนี้ หุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นแองโกล อเมริกัน ทะยานขึ้น 3.4% และหุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 3.5%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นโฟล์คสวาเกน ทะยานขึ้น 4.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้น 11.9% ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง โดยหุ้นเน็กซ์ ดิ่งลง 9.1% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและยอดขายในปีงบการเงิน 2560 ขณะที่หุ้นมาร์คส แอนด์ สเปนเซอร์ ดิ่งลง 4.5% และหุ้นแอสโซซิเอทเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ร่วงลง 2.1%
นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยตลาดหุ้นยุโรปได้ปิดทำการไปก่อนที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยมติการประชุม
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ แทนนางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีหน้า โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยชื่อประธานเฟดคนใหม่ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 57.77 จุด รับเฟดคงดอกเบี้ย,แสดงมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจ
     ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย และแสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งข้อมูลภาคบริการและการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนต.ค. ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปิดเผยชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
      ดัชนีเฉลี่ยอุตสหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,435.01 จุด เพิ่มขึ้น 57.77 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,579.36 จุด เพิ่มขึ้น 4.10 จุด หรือ +0.16% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,716.53 จุด ลดลง 11.14 จุด หรือ -0.17%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับแสดงมุมมองที่เป็นบวกว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และสามารถรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่พายุเฮอร์ริเคนที่เกิดขึ้นจะไม่มีผลกระทบมากนักต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ส่วนตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% ในระยะกลาง
      ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของเฟดถือเป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.
      นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดเมื่อคืนนี้ด้วย โดยออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 235,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย.
ส่วนข้อมูลภาคบริการนั้น สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM ปรับตัวสู่ระดับ 58.7 ในเดือนต.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 58.6 ขณะที่ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.6 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้ จากระดับ 53.1 ในเดือนก.ย.
        ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นเอสเต ลอเดอร์ ทะยานขึ้น 9.2% หลังจากบริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายในช่วงเทศกาลวันหยุดในไตรมาส 4 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 7.8% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัท
หุ้นอัลเลอร์แกน พีแอลซี พุ่งขึ้น 4.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้และกำไรสุทธิที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของวอลล์สตรีท ขณะที่บริษัทนิวยอร์ก ไทม์ส โค เปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของบริษัทปิดตลาดปรับตัวลง 5.8%
หุ้นแอปเปิล ปิดตลาดขยับลง 1.3% หลังจากพุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า แอปเปิลได้รับคำสั่งจองซื้อ iPhone X เป็นจำนวนมาก นับตั้งแต่ที่เปิดรับจองเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
       นักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ แทนนางเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีหน้า โดยปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยชื่อประธานเฟดคนใหม่ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
ทั้งนี้ สื่อหลายสำนักระบุว่า ปธน.ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเลือกนายเจอโรม พาวเวล ให้ขึ้นทำหน้าที่ประธานเฟด โดยเชื่อว่าหากนายพาวเวลได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่ประธานเฟด เขาจะเดินหน้าสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามแนวทางของนางเยลเลน
        นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.จะเพิ่มขึ้น 300,000 ตำแหน่ง ส่วนตัวเลขรายได้ต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี หรือเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน
        สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดุลการค้าเดือนก.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนต.ค. จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนต.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย.
--อินโฟเควสท์
OO1830

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!